“ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประกาศก้าวสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและการทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัล รายงานภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2565 มองโอกาสการเติบโตปี 2566 ด้วยความมั่นใจ
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป รายงานภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2565 โดยแจ้งว่าประสบความสำเร็จในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ที่ประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ ธุรกิจโลจิสติกส์, ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม, ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และธุรกิจดิจิทัลโซลูชัน ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์
ภายหลังจากการเปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 บนเนื้อที่รวม 400 ไร่ บริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่ร้อยละ 68 ของเฟส 1 หรือ 130,000 ตารางเมตร กับลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายใหญ่หลายราย ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) และผู้เช่าหลักรายอื่นๆ ในภาคสินค้าอุปโภคบริโภค
โดยในปี 2565 ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์มีการเปิดโครงการและลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น จำนวน 206,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมจำนวน 135,000 ตารางเมตร ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหาร ทั้งหมด 2,720,000 ตารางเมตร
ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์
นอกเหนือจากการขายที่ดินขนาด 600 ไร่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ให้กับบีวายดีแล้ว ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 3 ของบริษัทฯ ในประเทศเวียดนาม ที่จังหวัดกว๋างนาม
โดยมีขนาดพื้นที่ 2,500 ไร่ ตั้งเป้าดึงดูดอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ยานยนต์ เครื่องกล ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โดยตลอดปี 2565 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 1,860 ไร่ (1,754 ไร่ในประเทศไทย และ 106 ไร่ในประเทศเวียดนาม) สูงกว่ายอดขายที่ดินรวมในปี 2564 ที่ 855 ไร่ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 117.5
ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์
บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญากับบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถ ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 7.7 เมกะวัตต์ บนพื้นที่รวม 32,200 ตารางเมตร ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 (WHA ESIE 1) ซึ่งนับเป็นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มียอดจำหน่ายน้ำและบริหารน้ำรวม 145 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 683 เมกะวัตต์
ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้เปิดตัว WHAbit แอปพลิเคชันด้านเฮลธ์แคร์ เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการด้านการดูแลสุขภาพ และการแพทย์ทางไกล โดยประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ในปี 2565 บริษัทฯ เดินหน้าทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลผ่านโครงการต่างๆ กว่า 32 โครงการเพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company
ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ_กรุ๊ป ยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรางวัล SET Awards จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ รางวัล Commended Sustainability Awards สำหรับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป รางวัล Best Innovative Company Awards สำหรับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ_ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)
และรางวัล Outstanding REIT Performance Awards สำหรับทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ_อินดัสเตรียล นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ_กรุ๊ป และดับบลิวเอชเอ_ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนประจำปี 2565 (THSI) ในฐานะ Sustainable Stocks อีกด้วย
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2565 เราได้เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ มีการเซ็นสัญญาดีลใหญ่ๆ และโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทำให้เราสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด”
“พร้อมยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งต่อไป ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ทำให้เรามั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถก้าวไปสู่การเป็น Technology Company ภายในปี 2567 และมีการเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างแน่นอน”
เป้าหมายและแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ดับบลิวเอชเอ_กรุ๊ป ได้วางกลยุทธ์ธุรกิจไว้ 5 ข้อ ประกอบด้วย หนึ่ง การรักษาความเป็นที่หนึ่งในประเทศด้วยการครองอันดับหนึ่งในทุกธุรกิจขององค์กร ข้อสอง เร่งการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยเน้นที่ประเทศเวียดนาม
ข้อสาม ใช้นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ข้อที่สี่ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ โดยเน้นแนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นหลัก และ ข้อที่ห้า การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาไปสู่องค์กรที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และมุ่งสู่การเป็น Technology Company
โดยวางเป้าหมายการขยายธุรกิจในแต่ละกลุ่มไว้ดังนี้
ดับบลิวเอชเอ_โลจิสติกส์ ตั้งเป้าขยายธุรกิจในประเทศไทย และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในเวียดนาม โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ โดยยึดถือแนวทางปฏิบัติที่นำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ และคำนึงถึงความยั่งยืน
ดับบลิวเอชเอ_อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) จะตอกย้ำความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจในเวียดนามให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเน้นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะเชิงนิเวศขั้นสูง และโครงการอุตสาหกรรมมูลค่าสูง
ดับบลิวเอชเอ_ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) มุ่งต่อยอดธุรกิจสาธารณูปโภคให้เติบโตต่อเนื่องทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ_กรุ๊ป ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม ชูโซลูชันนวัตกรรมและความยั่งยืน
ดับบลิวเอชเอ_ดิจิทัล จะยังคงเป็นผู้นำโครงการการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร ช่วยสร้างเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ประสิทธิภาพ การเข้าถึง และความปลอดภัยด้านดิจิทัล
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ_ดิจิทัล จะทำงานร่วมกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของดับบลิวเอชเอ_กรุ๊ป ในการนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและดึงดูดลูกค้ารายใหม่ ตัวอย่างเช่น แดชบอร์ดตรวจสอบแผงพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์ตรวจจับประสิทธิภาพ เครื่องมือวิเคราะห์ ระบบอัตโนมัติ และอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เป็นต้น
วางงบลงทุน 6.85 หมื่นล้าน และการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ดับบลิวเอชเอ_กรุ๊ป วางงบลงทุน 6.85 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2566-2570) โดยเป็นงบลงทุนสำหรับ 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้แก่ โลจิสติกส์ จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท WHAUP จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท และดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำนวน 4 พันล้านบาท
โดยตั้งเป้ารายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 5 ปี (2566-2570) ที่ 1 แสนล้านบาท พร้อมอัดฉีดงบลงทุนมูลค่า 6.85 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี ขณะที่ยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA สูงกว่าร้อยละ 40 และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD) ต่ำกว่า 1.2 เท่า
จรีพร กล่าวว่าเสริม “เรามองอนาคตปี 2566 ด้วยความมั่นใจในเชิงบวก โดยในขณะที่ดับบลิวเอชเอ_กรุ๊ปกำลังก้าวเข้าใกล้การเป็น Technology Company มากขึ้น เราก็ยังคงส่งเสริมนวัตกรรมต่างๆ ให้กับทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ”
“โดยที่ยังเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ทั้งนี้ เราได้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 และมุ่งมั่นสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปีพ.ศ. 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของดับบลิวเอชเอ รวมถึงลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น พันธมิตรทางธุรกิจ และท้ายที่สุดคือสังคมไทยโดยรวม”