“โตโยต้า ทูโช – เดนโซ่ ผนึกกำลัง เน็กซ์ พอยท์ เขย่าตลาดยานยนต์ พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ พลังงานไฮโดรเจน รายแรกของประเทศไทย
โตโยต้า ทูโช และ เดนโซ่ ประกาศจับมือ เน็กซ์ พอยท์ ร่วมพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์พลังงานไฮโดรเจน รายแรกในประเทศไทย โดยมุ่งนำไปให้บริการในกลุ่มบริษัทพันธมิตรทางธุรกิจที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ ตั้งเป้าไตรมาส 4 ปี 2567 จะได้เห็นต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจนภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้
ทาคาฮิโระ อาราอิ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวัตถุดิบยานยนต์และเศรษฐกิจนิเวศ บริษัท โตโยต้า ทูโช คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ จุน คาวามูระ ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาโซลูชันพลังงาน บริษัท เดนโซ่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมลงนามในพิธีประกาศความร่วมมือระหว่างสามฝ่าย
ซึ่งเป็นการประกาศจับมือกับบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าพาณิชย์ พลังงานไฮโดรเจน รายแรกในประเทศไทย โดยบริษัทฯ มุ่งนำไปให้บริการในกลุ่มบริษัทพันธมิตรทางธุรกิจที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ
รวมทั้งทำการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการนำมาใช้งานเชิงพาณิชย์ในประเทศ และมุ่งเน้นสำหรับการใช้งานในกลุ่มรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายให้รถที่ผลิตนั้นสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือสูงกว่ารถสันดาป สามารถวิ่งได้ในระยะทางไกลต่อการเติมเชื้อเพลิงหนึ่งครั้ง และลดการปล่อยมลภาวะ
โดยมีเป้าหมายเร่งผลิตต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจนให้แล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2567 นี้
“หากโครงการความร่วมมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ทางกลุ่มผู้พัฒนามีแผนที่จะขยายขนาดของโครงการเป็นฟลีทขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มศักยภาพของห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิงไฮโดรเจนในประเทศ และลดผลกระทบต่อระบบนิเวศจากภาคขนส่ง
ทั้งนี้ที่เลือกจับมือกับ NEX เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของ NEX ในฐานะเป็นบริษัทผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย ที่มีโรงงานผลิตและประกอบยนต์ยานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แบบครบวงจร มีการผลิตและส่งออกเป็นที่ยอมรับในอาเซียน ที่สำคัญเป็นบริษัทฯ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย โดยจะใช้จุดแข็งของ TOYOTA TSUSHO DENSO และ NEX มาผสานให้เกิดความแข็งแกร่งร่วมกัน”
ด้านคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง NEX กับกลุ่มบริษัท โตโยต้า ทูโช คอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์) จำกัด และกลุ่มบริษัทเด็นโซ่ เป็นการพัฒนาที่ก้าวไปอีกขั้น จากการผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์ พลังงานไฟฟ้า 100 % มาเป็นพลังงานไฮโดรเจนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการตอบสนองความเป็นกลางทางคาร์บอนตามนโยบายของรัฐบาล ที่พยายามผลักดันและสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทั้งรถบัสโดยสารไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า
โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ 2 เท่าในกรณีที่ซื้อรถที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ รวมทั้งผลักดันให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ เปลี่ยนมาใช้รถ EV เพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฝุ่น PM 2.5 คาดว่าจะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ พลังงานไฮโดรเจน ได้สำเร็จในไตรมาส 4 ปี 2567 นี้แน่นอน
“ความร่วมมือครั้งนี้ ทุกฝ่ายทั้งเน็กซ์ พอยท์,โตโยต้า_ทูโช และเดนโซ่ มีส่วนร่วมในการออกแบบบูรณาการรถบรรทุก โดยโตโยต้า ทูโช รับผิดชอบทางด้านการประสานงานโครงการพัฒนา การจัดหาอุปกรณ์ที่เกียวข้องกับระบบไฮโดรเจน และให้ความร่วมมือในการประเมินประสิทธิภาพของยานพาหนะ, เดนโซ่ จะพัฒนาและจัดเตรียมข้อมูลของระบบเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell)
รวมถึงการสนับสนุนด้านเทคนิคและร่วมมือในการประเมินรถ และเน็กซ์ พอยท์ รับผิดชอบในการพัฒนารถ การผลิตและดัดแปลงยานยนต์ที่จะใช้เป็นพื้นฐานรวมถึงการติดตั้งและทดสอบผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด
โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจยานยนต์ไทย ตอบโจทย์ทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ส่งออกไทยที่กำลังเผชิญกับมาตรการซีแบม (CBAM) และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากภาคขนส่ง เพื่อส่งเสริมและตอบสนองนโยบายของรัฐบาล”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาโตโยต้า_ทูโช และ เดนโซ่ มีการพัฒนาระบบ Fuel Cell ซึ่งเป็นอุปกรณ์ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงผ่านกระบวนการทางเคมีไฟฟ้า โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเผาไหม้ ถือเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ และมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง โดยได้นำไปใช้งานด้านพลังงานต่างๆ
แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยนำมาใช้ในยานพาหนะที่ผลิตในประเทศไทย ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นโครงการความร่วมมือแรก ที่เน็กซ์ พอยท์ และโตโยต้า ทูโช จะร่วมกันพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน ที่ผลิตในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยมุ่งเน้นที่ยานยนต์เชิงพาณิชย์เป็นหลัก เนื่องจากสามารถช่วยลดผลกระทบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากที่สุด