“Synology แนะนำ 4 ขั้นตอนสำหรับการตรวจสอบแผนการดำเนินการเพื่อประสิทธิภาพของระบบไอทีสำหรับธุรกิจภาคการผลิต
จากเหตุการณ์เมื่อไม่นานนี้ที่ บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลกได้ประสบปัญหาและต้องหยุดการผลิตหนึ่งวันเนื่องจากความจุการเก็บข้อมูลในระบบการผลิตไม่เพียงพอ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อส่งผลกระทบต่อหนึ่งในสามของผลผลิตจากโรงงานทั่วโลก แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ได้เกิดจากการโจมตีที่ร้ายแรงทำให้ข้อมูลถูกเข้ารหัสหรือเสียหาย แต่ก็ส่งผลต่อความสูญเสียทางธุรกิจเป็นอย่างมาก
เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้_Synology จึงอยากแนะนำให้ลูกค้าองค์กรนำเหตุการณ์นี้มาใช้เป็นประสบการณ์เพื่อทบทวนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับการดำเนินงานของธุรกิจ เช่น ความเสียหายของอุปกรณ์ ความผิดพลาดจากมนุษย์ หรือการโจมตีที่ร้ายแรง พร้อมทั้งทบทวนแผนการปรับใช้งานระบบ IT ภายในองค์กร
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจธุรกิจจะสามารถลดความสูญเสียทางธุรกิจให้น้อยที่สุดได้เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด ตามประสบการณ์ที่ Synology ได้ให้บริการแก่ธุรกิจหลายแสนบริษัททั่วโลก เราขอแนะนำให้ลูกค้าในธุรกิจภาคการผลิตเริ่มต้นด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้:
ความพร้อมใช้งานสูงสำหรับระบบการผลิตที่สำคัญ
ประการแรก สำหรับอุปกรณ์ที่สามารถส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตที่สำคัญ Synology แนะนำให้ใช้สถาปัตยกรรมที่มีความพร้อมใช้งานสูง ในกรณีที่ฮาร์ดแวร์ทำงานผิดปกติ หน่วยสแตนด์บายจะเข้ามาทำหน้าที่แทนได้อย่างราบรื่น
ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบต่างๆ จะไม่มีการหยุดชะงักในขณะที่ดำเนินการแก้ไขปัญหา ด้วยการกำหนดค่านี้ สถาปัตยกรรมที่มีความพร้อมใช้งานสูงจะช่วยลดความเสี่ยงของการหยุดชะงักในการปฏิบัติงานที่เกิดจากความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างแพลตฟอร์มการตรวจสอบระบบเพื่อการรับรู้สถานการณ์แบบเรียลไทม์
ประการที่สอง แพลตฟอร์มการตรวจสอบระบบแบบรวมศูนย์ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของอุปกรณ์และระบบของตน รวมถึงประสิทธิภาพและการใช้งานพื้นที่จัดเก็บข้อมูล โดยจะแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
นอกจากนี้ระบบการตรวจสอบที่ทันสมัยยังมาพร้อมกับความสามารถในการตรวจจับขั้นสูง นอกเหนือจากการตรวจสอบในระดับอุปกรณ์แล้ว พวกเขายังสามารถจับภาพสแน็ปช็อตโดยอัตโนมัติและส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลระบบเมื่อมีพฤติกรรมที่ผิดปกติเกิดขึ้นที่ระดับระบบ เช่น การดำเนินการเขียนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถเริ่มต้นแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
การสำรองข้อมูลและบริการอย่างครบถ้วนตามเป้าหมายการกู้คืน
ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายของอุปกรณ์ ข้อผิดพลาดของมนุษย์ หรือการโจมตีที่เป็นอันตราย การสำรองข้อมูลช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสกู้คืนข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นบริษัทต่างๆ ควรจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์เวลาการกู้คืน (RTO) และวัตถุประสงค์จุดการกู้คืน (RPO) ตามความสำคัญของ Service ที่แตกต่างกัน และปรับใช้แผนการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบที่สอดคล้องกัน
กลยุทธ์การปกป้องข้อมูลในอุตสาหกรรมที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางคือ “กฎการสำรองข้อมูล 3-2-1” ซึ่งหมายถึงการรับรองสำเนาข้อมูลสำคัญสามชุดซึ่งจัดเก็บไว้ในสื่อที่แตกต่างกันอย่างน้อยสองประเภท โดยหนึ่งสำเนาอยู่นอกสถานที่ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาปัญหาจากแรนซัมแวร์ขั้นสูงที่อาจกำหนดเป้าหมายไฟล์สำรองข้อมูล เราขอแนะนำใหใช้การสำรองข้อมูลแบบ immutable และการสำรองข้อมูลออฟไลน์ไว้ในการวางแผนการสำรองข้อมูลสำหรับธุรกิจ
วางแผนการจัดการฉุกเฉินและดำเนินการซ้อมการกู้คืนอย่างเป็นระบบ
ท้ายที่สุด การสำรองข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าจะสามารถกู้คืนข้อมูลได้สำเร็จเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ธุรกิจต่างๆ จะต้องจัดทำแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ กำหนดความรับผิดชอบ แนวทางการดำเนินการ และวิธีการสื่อสารภายในและภายนอก
ขั้นตอนมาตรฐาน และดำเนินการตรวจสอบการสำรองข้อมูลและฝึกซ้อมการกู้คืนเป็นประจำ สิ่งนี้ทำให้แน่ใจได้ว่าเมื่อจำเป็นต้องมีการกู้คืนข้อมูลจริง ข้อมูลที่สำรองไว้สามารถกู้คืนได้สำเร็จ และทีมงานสามารถกู้คืนระบบการผลิตที่สำคัญให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่สั้นที่สุด
“ความยืดหยุ่นทางธุรกิจ กลายเป็นข้อกังวลหลักสำหรับผู้นำธุรกิจระดับโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลผลักดันความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของระบบไอที ความยืดหยุ่นด้านไอทีจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น
เราขอแนะนำให้ทั้งเจ้าของธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีใช้โอกาสนี้ในการประเมินความยืดหยุ่นด้านไอทีของธุรกิจอีกครั้ง และป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในเชิงรุก เพื่อรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจ” Joanne Weng ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศของ Synology กล่าว