SCGC – Denka ผนึกความร่วมมือเดินหน้าธุรกิจอะเซทิลีนแบล็กในห่วงโซ่ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ตลาด รับเมกะเทรนด์โลก
บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Denka Company Limited หรือ Denka ประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ในจังหวัดระยอง
คาดว่าจะมีกำลังการผลิตประมาณ 11,000 ตันต่อปี และโรงงานสามารถเริ่มกระบวนการผลิตได้ภายในต้นปี 2568 ทั้งนี้ อะเซทิลีนแบล็กของ Denka เป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอนแบล็กชนิดพิเศษที่เป็นวัสดุนำไฟฟ้า มีคุณสมบัติที่มีความบริสุทธิ์และการนำไฟฟ้าสูง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบชาร์จไฟได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นหลัก
รวมถึงสามารถนำไปใช้เป็นวัสดุสำหรับผลิตสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมนอกชายฝั่ง ซึ่งการร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ SCGC ที่มุ่งผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงหรือ HVA (High Value-Added Products & Service) เพื่อรองรับเมกะเทรนด์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มความต้องการของตลาดเพิ่มสูงขึ้น
ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สัญญาร่วมทุนดังกล่าวลงนามโดย ธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC และ โทชิโอะ อิมาอิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท Denka Company Limited โดยได้รับเกียรติจากรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งการร่วมทุนครั้งนี้ SCGC จะถือหุ้นร้อยละ 40 ส่วนที่เหลือจำนวนร้อยละ 60 จะถือหุ้นโดย Denka
SCGC มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน โดยมีธุรกิจหลัก ได้แก่ การผลิตเม็ดพลาสติกหรือพอลิเมอร์ ที่สามารถนำมาขึ้นรูปเป็นของใช้ใกล้ตัวผู้บริโภค นอกจากนี้ยังขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น โซลูชันด้านพลังงานสะอาด และนวัตกรรมสำหรับภาคอุตสาหกรรม
โดยมีกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งยกระดับธุรกิจสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value-Added Products & Services หรือ HVA) ควบคู่ไปกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตตามการใช้งานของผู้บริโภค ประกอบด้วย 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์ การแพทย์และสุขภาพ โซลูชันด้านพลังงาน และยานยนต์
ธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “ทั้ง SCGC และ Denka ต่างให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม
การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ SCGC การร่วมทุนกับ Denka จึงเป็นการเน้นย้ำเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของ SCGC ที่มุ่งตอบรับเมกะเทรนด์โลก ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากพันธมิตรระดับโลกอย่างต่อเนื่อง”
โทชิโอะ อิมาอิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท Denka Company Limited เผยว่า “Denka ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพ โครงสร้างพื้นฐานที่มีมูลค่าเพิ่มสูง พลังงานและสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน EV และ 5G ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัท ขณะที่ SCGC ดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ในประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนนี้จึงเป็นการรวมเอาความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบและการบริหารจัดการโรงงานปิโตรเคมีที่เข้มแข็งของ SCGC เข้ากับ Denka
ซึ่งเป็นผู้ผลิตอะเซทิลีนแบล็กชั้นนำระดับโลกที่มีเทคโนโลยีเฉพาะตัว และมีช่องทางในการจัดจำหน่ายที่กว้างขวางและเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ที่สำคัญการร่วมทุนนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต”
Denka เป็นบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ปัจจุบัน Denka ผลิตอะเซทิลีนแบล็กที่โรงงานทั้งหมด 3 แห่งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ จุดเด่นของผลิตภัณฑ์อะเซทิลีนแบล็กของ Denka คือเป็นวัสดุนำไฟฟ้าคาร์บอนแบล็กที่ผลิตขึ้นจากการสลายตัวทางความร้อนของก๊าซอะเซทิลีน
ด้วยเทคโนโลยีการย่อยสลายและการสังเคราะห์ด้วยความร้อนที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Denka คาร์บอนแบล็คที่ผลิตขึ้นจึงมีความบริสุทธิ์สูงและนำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม สามารถนำมาใช้ในงานต่างๆ เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในยานยนต์ไฟฟ้า และสายส่งไฟฟ้าแรงสูง
โรงงานผลิตที่ Denka และ SCGC จะดำเนินการร่วมกันภายหลังการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เบื้องต้นได้ตั้งเป้ากำลังการผลิตปีละประมาณ 11,000 ตัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตในต้นปี 2568 ทั้งนี้ รายละเอียดการลงทุนจะเป็นไปตามการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในต้นปี 2566