2022: แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล Digital Transformation Trends for 2022
“ผู้เขียนได้ลองประมวลและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่จะส่งผลในปี ค.ศ. 2022 โดยจะมุ่งเน้นไปที่การบรรจบกันของแนวโน้มทางเทคโนโลยี (Convergence of technology trends) เมื่อมีเครื่องมือ (Tools) ที่ทำให้หลอมรวมเข้าด้วยกันได้ในรูปแบบใหม่ และการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ (AI)
การยอมรับเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หรือ Digital Transformation ได้กลายเป็นกระแส และความจำเป็นในทุกด้านของชีวิตสำหรับหลายๆ องค์กรบทเรียนที่สำคัญที่สุดจากไวรัส COVID-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือ การเปลี่ยนแปลงที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริงนั้น ไม่ได้ยากอย่างที่คิดหากพวกเรา มีแรงจูงใจ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดเข้ากับกลยุทธ์ของตน เพื่อค้นหาเทคโนโลยีดีที่สุด
สำหรับการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ในทางสังคมเราจะควบคุมการเปิดกว้างใหม่นี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้ก็เพื่อความยืดหยุ่น ความคล่องตัว และการคิดในเชิงนวัตกรรมขณะที่ภาพรวมนั้นได้เปลี่ยนจากการพยายามเอาชีวิตให้อยู่รอดในโลกไปเป็นการทำความเจริญรุ่งเรืองให้อยู่ในโลก
จากการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่จะส่งผลในปี ค.ศ. 2022 โดยจะมุ่งเน้นไปที่การบรรจบกันของแนวโน้มทางเทคโนโลยี (Convergence of technology trends) เมื่อมีเครื่องมือ (Tools) ที่ทำให้หลอมรวมเข้าด้วยกันได้ในรูปแบบใหม่และการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งน่าสนใจ
สิ่งต่อไปนี้จัดเป็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของปี ค.ศ. 2022 ที่ผู้เขียนและคอลัมนิสต์จากฟอร์บส เบอร์นาร์ด มาร์ เชื่อว่าจะกลายมาเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับเทคโนโลยีแห่งปี 2022 โดยบทความในฉบับมีมุมมองและรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องถูกใช้ทุกที่
ความอัจฉริยะ หรือ สมาร์ท (Smart) ที่มากขึ้นซึ่งหมายถึงการเชื่อมต่อจริงๆ สมาร์ทโฟน สมาร์ททีวี และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ อีกมากมายจะหลายเป็นเพียงของเล่นแบบเก่าที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต วันนี้คำว่า “สมาร์ท” หมายถึงการขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทั่วไปก็คืออัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) และสามารถช่วยเราได้ในรูปแบบที่เป็นนวัตกรรมมากขึ้น
เราจะได้เห็นความอัจฉริยะเกิดขึ้น อาทิ รถยนต์อัจฉริยะ ที่ใช้อัลกอริธึมการจดจำใบหน้าเพื่อตรวจจับว่าเราให้ความสนใจกับท้องถนนหรือไม่และเตือนหากเราเหนื่อย สมาร์ทโฟนใช้อัลกอริธึม AI เพื่อทำทุกอย่างตั้งแต่รักษาคุณภาพของการโทร เพื่อช่วยให้เราถ่ายภาพได้ดีขึ้น
และแน่นอนสมาร์ทโฟนยังอัดแน่นไปด้วยแอปพลิเคชันที่ใช้ AI เพื่อช่วยให้เราทำอะไรก็ได้ แม้แต่ห้องสุขาอัจฉริยะที่กำลังจะมาถึง สามารถช่วยวินิจฉัยปัญหาทางเดินอาหารได้โดยใช้ภาพจากคอมพิวเตอร์ (Computer vision) เพื่อวิเคราะห์ตัวอย่างของอุจจาระ
AI ได้แทรกซึมสู่เครื่องมือที่เราได้ใช้ในการทำงานประจำวันตั้งแต่ผู้ช่วยเสียง (Voice assistants) ที่แพร่หลายมากขึ้นไปจนถึงการแปลภาษา และเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถดึงข้อมูลที่มีโครงสร้างจากรูปภาพ การเขียนด้วยไวท์บอร์ด และบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ (Hand-written notes)
นอกจากนี้ยังให้พลังกับกระบวนการอัตโนมัติของหุ่นยนต์ส่วนใหญ่จะช่วยให้ภาระงานลดลงในแผนกผู้ดูแลระบบอุตสาหกรรมโลจิสติกส์การบัญชีและทรัพยากรบุคคลไม่ว่าอุตสาหกรรมหรือหน้าที่ในการงานของคุณจะเป็นอย่างไรคุณก็มักจะพบว่ามีโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ได้ออกแบบมาเพื่อทำให้ชีวิตของคุณสะดวกและง่ายขึ้น
แนวโน้มกว้างๆ นี้ ครอบคลุมทั้ง AI อินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (IoT) และเครือข่ายความเร็วสูงที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่อย่าง 5G ด้วยทั้งหมดนี้ได้มารวมกันเพื่อเพิ่มความสามารถที่เราไม่มีเมื่อไม่กี่ปีก่อน
อนึ่งแนวโน้มที่มีผลกระทบมากสุดคือการบรรจบกัน (Convergence) ของปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ความเร็วของเครือข่ายและตัวประมวลผลที่เร็วขึ้น รวมทั้ง การเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเสรี (Democratizationof data) กำลังมารวมกันซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสังคมในลักษณะที่มากกว่าผลรวมของสิ่งเหล่านั้น
ทุกอย่างเป็นเหมือนการให้บริการและการปฏิวัติแบบไม่ต้องเขียนโปรแกรม
แรงขับเคลื่อนอีกอย่างหนึ่งที่ทรงพลังยิ่งขึ้นคือ การเติบโตของการเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีได้อย่างเสรี (Democratization of data and technology) ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นความก้าวหน้าทางนวัตกรรมไอซีทีและดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานและพลังการประมวลผลทั้งหมดได้เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อนำทักษะและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับสร้างนวัตกรรมโดยผู้ใช้จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์
อาทิ โซลูชันระบบคลาวด์ที่เข้ามาทดแทนความเสี่ยงของการมีโครงสร้างพื้นฐานราคาแพง ทั้งการจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่ายรวมทั้งการประมวลผล ผู้พัฒนาหรือธุรกิจสามารถทดลองใช้แนวคิดใหม่ๆ ได้เร็วขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อบริการคลาวด์แบบสาธารณะไม่สอดรับกับกรณีเมื่อต้องใช้กับข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่มีค่ามาก โซลูชันในแบบไฮบริดคลาวด์ก็ถูกพัฒนาจนถึงจุดที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ฟังก์ชันงานหรือเวิร์คโหลดต่างๆ ได้มากขึ้น
นอกจากนั้นแล้ว นวัตกรรมได้ถูกนำมาช่วยแก้ไขในบางองค์กร หรือบางอุตสาหกรรม จากวิกฤตการขาดแคลนทักษะซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหาหลักของโลกดิจิทัล การเกิดขึ้นของบริการต่างๆ ด้านไอซีที เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องคนและทักษะ ที่แต่ละบริษัทไม่จำเป็นต้องจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์เพื่อสร้าง “สมองดิจิทัล” ของตัวเอง
เมื่อพวกเขาสามารถ “เช่า” ระบบหรือบริการสำหรับงานที่บริษัทนั้นต้องการ โซลูชัน AI ที่ถูกสร้างขึ้น (Ready-built AI) พร้อมแล้วสำหรับทุกอย่างตั้งแต่การตลาดการบริหารบุคลากรการจัดการโครงการ การวางแผน ไปจนถึงการออกแบบกระบวนการผลิตซึ่งในปี ค.ศ. 2022 เรานั้นจะยังคงได้เห็นบริษัทต่างๆ ปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน AI และ IoT โดยไม่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์สักเครื่องหรือชิ้นส่วนขององค์ความรู้ที่เป็นกรรมสิทธิ์อย่างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Code) เลย
อินเทอร์เฟซแบบไม่ใช้ Code จะกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจากการขาดความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรมฯ หรือความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับสถิติและโครงสร้างของข้อมูลซึ่งจะหยุดสิ่งที่กลายเป็นอุปสรรคในการนำแนวคิดที่เปลี่ยนโลกมาสู่ความเป็นจริง
Open AI คือ กลุ่มวิจัยที่ก่อตั้งขึ้นโดย เอลอน มัสก์ และได้รับทุนจากไมโครซอฟท์ ได้เปิดตัว Codex ซึ่งเป็นโมเดลการเขียนโปรแกรมที่สามารถสร้าง Code จากภาษาพูดที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเทคโนโลยีเช่นนี้เติบโตเต็มที่ ซึ่งเราจะเริ่มเห็นในปี ค.ศ. 2022 และเมื่อหลอมรวมเข้ากับความเป็นไปได้ของโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ผลที่ได้นั้นทำให้นวัตกรรมและจินตนาการของเราจะไม่ถูกจำกัดโดยการขาดทรัพยากรหรือขาดทักษะทางเทคนิค
การแปลงไปสู่โลกดิจิทัลและโลกเสมือน
ในช่วงปี ค.ศ. 2020 ถึง 2021 พวกเราหลายคนเคยมีประสบการณ์การทำงานในสำนักงาน หรือสถานที่ทำงานแบบจำลองเสมือน (Virtualization of offices) เนื่องจากเวลาที่ผ่านมาเราต้องปรับการทำงานให้เป็นแบบทางไกลอันเป็นแนวโน้มในการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากวิกฤตการณ์ COVID-19 ที่ได้เกิดขึ้น
และในปี ค.ศ. 2022 เรานั้นจะคุ้นเคยกับแนวคิด เมทาเวิร์ส (Metaverse) มากขึ้นซึ่งเป็นโลกดิจิทัลที่มีอยู่จริงควบคู่ไปกับโลกทางกายภาพที่พวกเราอาศัยอยู่ด้วยภายในเมทาเวิร์สเหล่านี้ในแบบที่ถูกเสนอเมื่อเร็วๆ นี้โดยมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก
ที่เพิ่งประกาศรีแบรนด์ เฟซบุ๊ก อิงค์ ไปเป็น เมตา โดยให้วิสัยทัศน์ว่า บริษัทนี้จะทำหน้าที่หลายอย่างที่เราคุ้นเคยในโลกแห่งความเป็นจริง รวมทั้งการทำงาน การเล่น และการเข้าสังคมโดย เมทาเวิร์ส จะเป็นการเชื่อมโลกจริงและโลกเสมือนเข้าหากันด้วยการสร้างแบบจำลองและจำลองโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น อันทำให้พวกเรานั้นได้พบกับประสบการณ์ที่สมจริง น่าเชื่อ และมีคุณค่ามากขึ้นในขอบเขตของโลกดิจิทัล
แม้ว่าเราหลายคนจะเคยสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงผ่านชุดหูฟังกันมาแล้วแต่อุปกรณ์ใหม่ๆ ที่ออกสู่ตลาดจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ในการให้ผลตอบรับที่สัมผัสได้ หรือแม้กระทั่งกลิ่นในเร็วๆ นี้ บริษัท Ericsson นั้นได้จัดหาชุดหูฟัง VR ให้กับพนักงานที่ทำงานจากที่บ้านในช่วงการแพร่ระบาด COVID-19
และกำลังพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า อินเทอร์เน็ตแห่งความรู้สึก (Internet of senses) คาดว่าก่อนปี ค.ศ. 2030 ประสบการณ์เสมือนจริงจะพร้อมให้ใช้งาน ซึ่งแยกไม่ออกจากความเป็นจริงทำให้นึกถึงภาพยนตร์ที่ปัญญาประดิษฐ์ได้สร้างโลกจำลองเสมือนจริง (The Matrix) อาจดูไกลกว่าสิ่งที่เราสนใจสำหรับบทความนี้เพียงเล็กน้อยแต่ในปี ค.ศ. 2022 นั้นจะพาเราก้าวเข้าไปอีกก้าวใกล้ The Matrix ด้วยตัวของเราเองอย่างไม่ต้องสงสัย
ความโปร่งใสและการกำกับดูแลทางเทคโนโลยี
เพื่อให้เทคโนโลยีใช้งานได้มนุษย์เราต้องสามารถไว้วางใจเทคโนโลยีนั้นได้ เราคงได้เห็นการตอบโต้อย่างรุนแรงในหลายๆ ด้านที่เทคโนโลยีกำลังถูกใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งได้ถูกมองว่าเป็นการล่วงละเมิด เป็นอันตราย หรือขาดความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI บางครั้งถูกมองว่าเป็น “กล่องดำ” หมายความว่าเราไม่สามารถมองเห็นข้างในเพื่อทำความเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร โดยทั่วไปเกิดจากความซับซ้อนมากกว่าแผนร้าย ที่จะจำกัดความเข้าใจของเรา อย่างไรก็ตามผล
ที่ได้เหมือนกัน ซึ่งหมายความว่าเหตุการณ์ที่ AI แสดงให้เห็นว่าได้สร้างความเสียหายอย่างเมื่อเร็วๆ นี้Facebook ดูเหมือนจะติดป้ายกำกับรูปภาพของคนผิวดำว่าเป็น “นักบวช” (Bishop) ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งโดยเฉพาะในสังคมที่เริ่มมองหาAIสำหรับการตัดสินใจที่ส่งผลต่อ ชีวิต อาทิ การจ้างงานและการเลิกจ้างงาน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแนวคิดเรื่อง AI ที่โปร่งใสและอธิบายได้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่ามีหลายกลุ่มในสังคมที่ไม่ไว้วางใจในเรื่องนี้ด้วยเหตุผลที่ดีและชัดเจน รัฐบาลเองก็เข้าใจอย่างชัดเจนเช่นกันว่า จำเป็นต้องมีกรอบการกำกับดูแล
ซึ่งเห็นได้จากการมีอยู่ของพระราชบัญญัติปัญญาประดิษฐ์ที่เสนอโดยสหภาพยุโรป การกระทำที่เสนอนี้ห้ามไม่ให้ทางการใช้ AI เพื่อสร้างระบบการให้คะแนนทางสังคม รวมถึงการใช้เครื่องมือจดจำใบหน้าในที่สาธารณะ
นอกจากนี้ยังมีรายการผลกระทบที่อาจเป็นอันตราย ซึ่งรวมถึง “การใช้ประโยชน์จากช่องโหว่” และ “ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือจิตใจ” ที่ผู้ให้บริการโซลูชัน AI จะต้องแสดงให้ เห็นก่อนว่าระบบของตนจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายจึงจะสามารถเสนอขายได้อย่างไรก็ตามบางคนอ้างว่ามันยังไม่เพียงพอเนื่องจากในสถานะปัจจุบันยังไม่มีข้อกำหนดใดๆที่ผู้คนควรได้รับการเตือนเมื่อพวกเขาตกอยู่ในกระบวนของการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ซันดาร์ พิชัย CEO ของ Google กล่าวว่า เขาตระหนักดีว่าการควบคุม AI นั้นจำเป็นแต่ “ต้องมีความสมดุล” เพื่อให้แน่ใจได้ว่านวัตกรรมจะไม่ถูกยับยั้งการกระทำที่สมดุลนี้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่โดดเด่นมากขึ้นในปี ค.ศ.2022 เนื่องจากผู้คนจำนวนมากขึ้นนั้นตระหนักถึงผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคมที่ AI และเทคโนโลยีอื่นๆ จะเข้ามามีส่วนร่วม
ข้อคิดที่ฝากไว้
การระบาดใหญ่ของไวรัส COVID-19 ในปี ค.ศ. 2022 จะยังคงเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเราในหลายด้านซึ่งก็หมายถึงจะยังคงได้เห็นอัตราเร่งในการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกดิจิทัล (Digitization) และการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกเสมือน (Virtualization) ของธุรกิจและสังคมกันอย่าง
ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อก้าวสู่ปี ค.ศ. 2022 หลายคนจะได้เห็นในความต้องการอย่างยั่งยืนของปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งความเร็วในการประมวลผลและความเร็วบนเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งจะเป็นตัวที่บ่งบอกเราในฐานะเป็นตัวขับเคลื่อน ที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital transformation) แห่งปี 2022
ดาวน์โหลดไฟล์ pdf >> 2022: แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล