2 สิ่งสำคัญที่ CIO ทุกคนต้องให้ความสำคัญในปี 2025

“ความพร้อมในการใช้ AI อย่างถูกต้อง และความตระหนักเรื่องการดำเนินงานด้าน IT ที่มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งสำคัญ 2 ประการที่ CIO จากบริษัทชั้นนำที่เห็นตรงกันว่า คือสิ่ง CIO ทุกคนต้องให้ความสำคัญในปี 2025
จากบทความ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 ที่ผู้เขียนกล่าวว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะบูรณาการเข้ากับการทำงานและวิถีการใช้ชีวิตของมนุษย์มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเกือบทั้งหมดในปีที่แล้ว (ค.ศ.2024) เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด (GenAI) อาทิ ChatGPT จนทุกองค์กรต้องลองใช้ในหนึ่งโครงการหรือมากกว่า
กฤษณะ ปราสาด, CIO ของบริษัท UST เป็นผู้ให้บริการทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยองค์กรประสบความสำเร็จ ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล กล่าวว่า “ปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิดอย่าง ChatGPT ถูกนำไปใช้เป็นหลักสำหรับการใช้งาน 3 ประเภท”
“ประเภทแรก เพื่อประสิทธิภาพส่วนบุคคลและองค์กร ประเภทสอง เพื่อเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจ และประเภทสามนั้น เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์รวมทั้งบริการใหม่ที่สร้างรายได้”
สิ่งนี้ทำให้บริษัท UST จัดตั้งสภาผู้นำด้าน AI เพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมแบบเดียวกันจะถูกนำไปใช้กับทุกโครงการ และยังได้ปรับปรุงการกำกับดูแลเทคโนโลยีด้าน AI อีกทั้งต้องเน้นการดำเนินงานด้าน IT ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อรองรับความเจริญก้าวหน้าที่มาพร้อมกับการแข่งขันทางด้าน AI
ด้วยการทำเช่นนี้จะทำให้เข้าใจได้ว่ามูลค่าทางธุรกิจ (Business value) ที่ได้รับไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ผู้คนคาดหวังเสมอไป เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เรียนรู้ในปี ค.ศ.2024 จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย หากเหล่าผู้บริหารงานระดับสูงขององค์กรที่รับผิดชอบงานด้านเทคโนโลยีอย่าง CIO ไม่มุ่งมั่นกับ 2 สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรนั้นพร้อมสำหรับการทำงานในปีนี้
โดยบทความในฉบับมีมุมมองและรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
ควรพร้อมในการใช้ AI อย่างถูกต้อง
เราพบว่า บรรดาผู้ผลิตเทคโนโลยีทั่วโลกได้ผสานรวม AI เข้ากับแอปพลิเคชันยอดนิยม ซึ่งองค์กรต่างๆ ที่อยู่ในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยี ที่พึ่งพารูปแบบการทำงานกับเทคโนโลยีแบบเดิมมาหลายปีต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง

หมายความว่า ไม่เพียงแค่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ Prompt engineering หรือ แนวปฏิบัติในการออกแบบ และปรับแต่งคำถามหรือคำสั่ง เพื่อทำให้การตอบสนองจาก AI ให้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด แต่ยังต้องกังวลถึงการตอบสนองการใช้งานอีกด้วย เพราะคุณจะเห็นว่า โลกของการสั่งงานแอปพลิเคชันสำหรับองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเปลี่ยนวิธีการทำงานของผู้คน
ข้อมูลจาก ซิดนีย์ เฟอร์นันเดซ รองประธานด้าน IT และ CIO ของ University of Southern Florida (USF) ได้กล่าวไว้ว่า “เหล่า CIO คงต้องแน่ใจว่า ทั้งบุคลากรและกำลังคนทางธุรกิจนั้น พร้อมที่จะทำในสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างออกไปเพื่อการใช้ประโยชน์จาก AI ซึ่งสิ่งที่กล่าวถือเป็นเรื่องที่สำคัญ”
เหล่า CIO ควรสร้างแพลตฟอร์มสำหรับเครื่องมือต่างๆ ที่กำหนดเอง (Custom tools) ซึ่งตอบสนองในความต้องการไม่เพียงเพื่อส่วนงานและภูมิศาสตร์ของ CIO เท่านั้น แต่ยังได้รวมถึงเพื่อบริษัท ซึ่งหมายถึงแต่ละฟังก์ชันงานหรือแต่ละแผนกเฉพาะด้วย
แต่ละโมเดล AI จะได้รับการพัฒนาที่แตกต่างกันสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ และจะใช้ข้อมูลที่มีความแตกต่างกันมากสำหรับการฝึกอบรม อาทิ ในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพก็จะแตกต่างกันเมื่อนำมาเทียบกับโลจิสติกส์
ตัวอย่างเช่น บริษัทแต่ละแห่งมีวิธีดำเนินธุรกิจและชุดข้อมูลของบริษัทเอง และภายในบริษัทการตลาดจะใช้ข้อมูลที่แตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับการบริการลูกค้า
นอกจากนั้นแล้ว รอน เกอร์ริเยร์ ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีระดับสูงขององค์กร (CTO) ของ Save the Children ได้กล่าวไว้ว่า “จากประสบการณ์การทำงานในด้านเทคโนโลยี หนึ่งสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดในปี ค.ศ.2024
ก็คือเหล่าผู้บริหาร IT ส่วนหนึ่งเดินหน้าด้วย AI โดยยังไม่เข้าใจโครงสร้างข้อมูลอย่างแท้จริง ว่าข้อมูลถูกนำเข้าและจัดรูปแบบอย่างไร อีกทั้งถูกป้อนเข้าสู่โมเดล AI อย่างไร”
“ถ้าหากข้อมูลถูกดึงมาจากแหล่งที่ไม่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ก็ไม่ถูกต้องตามไปด้วย (Garbage in, Garbage out) ดังนั้นเหล่า CIO_จำเป็นที่จะต้องจัดการกับข้อมูลให้ดีขึ้นในปีนี้ (ค.ศ.2025)”
ซิดนีย์ เฟอร์นันเดซ,_CIO ของ University of Southern Florida ได้กล่าวเพิ่มว่า “เหล่า CIO ยังต้องรักษาความปลอดภัยข้อมูลและทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ AI เชิงตัวแทน (Agentic AI) ที่ได้เปิดให้ AI มีบทบาทเป็นตัวกระทำ ที่สามารถเรียนรู้, ตัดสินใจ และดำเนินการตามเป้าหมายได้โดยอัตโนมัติ กำลังแพร่หลายมากขึ้นเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองในโลกของธุรกิจ
อันส่งผลให้การกำกับดูแลข้อมูล (Data governance), นโยบายการป้องกันการสูญเสีย (Loss prevention policies) และกระบวนการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ขององค์กรนั้น จะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากตอนนี้องค์กรจะเปิดเผยข้อมูลในอัตราที่ไม่สามารถควบคุมได้”
ที่สำคัญแผนก IT ส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด (ChatGPT) แต่ยังขาดทักษะที่จำเป็นในการดำเนินโครงการ
ดังนั้นเพื่อเตรียมพร้อมในการรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในปีนี้ เหล่า_CIO มีทางเลือก 3 ทาง กล่าวคือ พัฒนาทักษะภายในองค์กร, จ้างงานจากภายนอก หรือพัฒนาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับบริษัทที่มีทักษะและน่าเชื่อถือได้
นึกเสมอต้องเน้นการดำเนินงานด้าน IT ที่มีประสิทธิภาพ
ความเจริญก้าวหน้าที่มาพร้อมกับการแข่งขันทางด้าน AI ทั้ง DeepSeek และ ChatGPT ทำให้เหล่า_CIO จำนวนหนึ่งไม่ได้ใช้เวลาเพียงพอกับสิ่งอื่นที่ควรทำ เช่น เหล่า_CIO ต้องเน้นการดำเนินงานด้าน IT ที่มีประสิทธิภาพ (KTLO: Keep The Lights On) โดยเมื่อถึงจุดหนึ่ง_CIO จะนึกถึงสิ่งนี้
CIO_ไม่ควรลืมว่า KTLO ยังคงเป็นรากฐานของความสำเร็จ แม้ AI อาจเป็นข้อเสนอที่น่าตื่นเต้น แต่ KTLO นั้นมักให้ผลตอบแทนที่แน่นอนกว่า อาทิ การปรับปรุงระบบให้ทันสมัย, การรวมแพลตฟอร์ม และการเลิกใช้โซลูชันที่ล้าสมัย ซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนและสร้างสภาพแวดล้อมที่คล่องตัวมากขึ้น
ขั้นตอนเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ที่สำคัญยังทำให้ IT มีความสามารถมากขึ้นในการรองรับความเจริญก้าวหน้าที่มาพร้อมกับการแข่งขันทางด้าน AI
เห็นได้จาก AI เจริญเติบโตได้จากข้อมูลที่ ถูกต้องและเชื่อถือได้ อันทำให้แนวทางปฏิบัติด้าน IT ในแบบเดิม อาทิ การกำกับดูแลข้อมูลและการรวมข้อมูลนั้นมีความจำเป็น ด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพต่ำจะบั่นทอนแม้เลือกใช้โมเดล AI ที่ดีที่สุด
ตอกย้ำในความสำคัญของงานด้าน IT ที่เป็นพื้นฐาน (Foundational IT work) การดำเนินงานด้าน IT ที่เสถียรทำให้มั่นใจได้ว่า อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ AI (AI-embedded tools) นั้นทำงานได้ตามที่ตั้งใจ, ลดการหยุดชะงัก และรักษาในความไว้วางใจ
กฤษณะ ปราสาด, CIO_ของ UST ได้ให้ความเห็นที่สำคัญปิดท้ายว่า “ศักยภาพที่น่าตื่นเต้นของ AI ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่มีพื้นฐานที่มั่นคงที่ KTLO ได้มอบไว้”
ข้อคิดที่ฝากไว้
เมื่อกล่าวถึงการล้างหนี้ทางเทคนิค (Technical debt) ที่เกิดมาจากปัญหาของการพัฒนาซอฟต์แวร์ในแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ด้วยภาระหนี้ทางเทคนิคต่างๆ เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่ได้พยายามทำให้ซอฟต์แวร์เสร็จไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากสำหรับการแก้ไข หลังจากที่ซอฟต์แวร์เสร็จไปแล้ว
ทั้งนี้เพื่อจัดการกับความซับซ้อนของสภาพแวดล้อม IT สมัยใหม่ เช่น ระบบที่ล้าสมัย, แอปพลิเคชันที่ปรับแต่งมากเกินไป และสถาปัตยกรรมที่กระจัดกระจาย อันทำให้ความคืบหน้าช้าลง, เพิ่มในความเสี่ยง และทำให้การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขยายขนาดนั้นยากขึ้น
การปฏิบัติต่อหนี้ทางเทคนิคเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ IT มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้…พร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายในอนาคต
อ่านบทความทั้งหมดของ น.อ.สรรสิริ สิริสันตคุปต์
Featured Image: Image by freepik