“บทความของ วีระ อารีรัตนศักดิ์ ผู้บริหาร เน็ตแอพ ประจำประเทศไทย ที่ให้ทัศนะเรื่องการจัดการ data ขององค์กร โดยยึดหลักหลักการบริหารเงินส่วนบุคคล โดย ข้อมูล (เงิน) ที่ต้องใช้เก็บไว้ใกล้ตัว และข้อมูล (เงิน) ที่ยังไม่ใช้ให้แยกเก็บไว้อย่างปลอดภัย
จากการคาดการณ์ล่วงหน้าว่า ข้อมูล จะมีความสำคัญเทียบเท่ากับสกุลเงินที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ธุรกิจหลายแห่งที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้รับประโยชน์จากข้อมูลอย่างมากในวิกฤตปัจจุบัน ขณะที่ในระดับรัฐบาล การผลักดันสู่ การเพิ่มการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เป็นส่วนสำคัญในแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลไทยได้ประกาศใช้แผนวิสัยทัศน์รัฐบาลดิจิทัลประเทศไทย พ.ศ. 2560 – พ.ศ. 2564
หลายคนกล่าวกันว่า หากองค์กรต่างๆ ต้องการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ให้มากขึ้นนั้น จำเป็นต้องมีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดีและถูกต้องแม่นยำ อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญของ การจัดการข้อมูล เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่หลายองค์กรอาจหลงลืมไป
พื้นฐานการจัดการข้อมูลที่ดีนั้นจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม โดย องค์กรจะต้องดูแลข้อมูลให้เสมือนกับบุคคลรอบคอบที่คอยจัดสรรการเงินของตน
การรวบรวม สินทรัพย์ เพื่อเพิ่มยอดสุทธิ
ทุกวันนี้ องค์กรต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเอง สามารถนำระบบ SGFinDex ของประเทศสิงคโปร์มาเป็นแรงบันดาลใจ เพราะระบบดังกล่าวถือเป็นโครงสร้างดิจิทัลระบบแรกของโลก ที่บุคคลทั่วไปสามารถดึงข้อมูลการเงินจากธนาคารคู่แข่งหรือจากตัวแทนรัฐบาลต่างๆ ออกมาได้
โดยสถานการณ์ COVID-19 ได้บีบบังคับให้เราทบทวนว่าเรามีการใช้จ่ายเงินอย่างไร ทั้งนี้พลเมืองสิงคโปร์แต่ละคนสามารถตัดสินใจทำกิจกรรมทางการเงินได้ดีขึ้นผ่านวิสัยทัศน์ที่กว้างและทันต่อความต้องการ ทั้งในด้านการฝากเงิน ถอนเงิน การลงทุน เงินบำนาญ เงินกู้บ้าน และอื่นๆ
ที่ผ่านมา ธุรกิจจำนวนมากประสบปัญหาด้านการจัดเก็บข้อมูล เช่นเดียวกับการที่ข้อมูลของผู้บริโภคถูกแบ่งและจัดเก็บแยกจากกันจนกระทั่งระบบ SGFinDex นี้ถูกสร้างขึ้น
แต่ในความเป็นจริงข้อมูลจาก 451 Research, Pathfinder Report: Information-driven Compliance and Insight พบว่า 2 ใน 5 ขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ยังคงประสบปัญหาจาก มุมมองที่ไม่แน่นอนด้านการเติบโตของธุรกิจ เนื่องจากไซโลจัดเก็บข้อมูลภายในองค์กร ที่มีอยู่มากมายเกินไป อย่างน้อยๆ ก็ 50 แหล่งเข้าไปแล้ว
ปัญหาด้านการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวประกอบไปด้วย การมีอยู่ของไฟล์ข้อมูลไร้โครงสร้าง และกลุ่มข้อมูลที่ติดอยู่ในคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนของพนักงาน เซิร์ฟเวอร์และ all-flash arrays ในตัวองค์กร ศูนย์ข้อมูล และคลาวด์สาธารณะ อย่างเช่น AWS, Microsoft Azure หรือ Google Cloud
โดยกระบวนการพื้นฐานของการจัดระเบียบให้กับข้อมูลดังกล่าว คือ การซื้อกิจการองค์กร การหาให้พบว่าข้อมูลถูกเก็บอยู่ในส่วนใด การมี หน่วยเก็บข้อมูล (storage units) ที่เชื่อมถึงกันและทำงานภายในระบบเดียว การจัดแบ่งข้อมูลที่นำมาใช้งาน และการตรวจสอบและดำเนินการตามมาตรการป้องกันภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น
จากรายงานของ IDC เรื่อง The Data-forward Enterprise: How to Maximise Data Leverage for Better Business Outcomes ที่เมื่อเทียบกับของเดิมแล้วนั้น องค์กรชั้นนำด้านการจัดการข้อมูลมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 69% มีผลกำไรเพิ่มขึ้น 57% และได้รับความพึงพอใจจากลูกค้ามากขึ้นกว่า 72%
เก็บ หรือ ถอน ตามความต้องการ ณ ปัจจุบัน
เมื่อองค์กรได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยรวบรวมแหล่งข้อมูลที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกันได้แล้ว องค์กรต้องเริ่มดูแลข้อมูลในแหล่งข้อมูลเหล่านั้น ราวกับว่าข้อมูลเป็นธนบัตรธนาคารใบหนึ่ง
เราทุกคนใช้ธนบัตร 1,000 บาท และธนบัตร 20 บาท ต่างกัน เพราะมูลค่าของธนบัตรมีมากน้อยต่างกัน และเมื่อคุณจะซื้อของด้วยธนบัตรที่มีมูลค่าสูง คุณก็จะต้องมั่นใจอยู่ก่อนแล้วว่าคุณมีเงินในกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะสมและเพียงพอ และแน่นอนว่าเงินสดที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ ก็จะถูกแยกเก็บไว้อย่างปลอดภัย
เช่นเดียวกันกับข้อมูล เพราะไม่ใช่ว่าข้อมูลทุกชิ้นจะสำคัญเท่ากันหมด โดยข้อมูลที่ต้องการให้เข้าถึงได้ทันที หรือที่เรียกกันว่า hot data นั้น – ธุรกิจต่างๆ จะเก็บไว้ ใกล้ตัว แต่ cold data ที่ไม่ได้ต้องการใช้ก็ควรถูกเก็บไว้ที่อื่นจนกว่าจะต้องการเปิดใช้งานอีกครั้ง
เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้มี 2 ประการ
ประการแรก คือ ธุรกิจจะสร้างข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ปริมาณข้อมูลของผู้ให้บริการด้านสุขภาพเติบโตขึ้นมากถึง 1 เทระไบต์ต่อวัน
ประการที่สอง เช่นเดียวกับที่คุณไม่สามารถเก็บเงินทุกบาทที่คุณมีไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ แม้จะช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล แต่ตัว all-flash arrays ในองค์กรก็มีพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลที่จำกัดเช่นกัน
หากเปรียบกับรูปแบบบัญชีเงินฝากแล้ว ระบบคลาวด์เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเก็บข้อมูลของคุณ เพราะมีซอฟต์แวร์ที่เข้ามาช่วยทำงานเสมือน ระบบ ATM เพื่อกระจายข้อมูลได้ทุกที่และทุกเวลาที่ต้องการ ซึ่งความสามารถนี้ หรือที่เรียกกันว่า tiering technology จะระบุข้อมูลที่ไม่ได้ใช้งานโดยอัตโนมัติและย้ายข้อมูลเหล่านั้นไปเก็บบนหน่วยคลาวด์ในราคาถูก เทียบเท่ากับกาแฟหนึ่งแก้ว
ตัวอย่าง tiering technology
ผมขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงให้เห็น 2 ข้อ ในระบบสุขภาพ ทะเบียนผู้ป่วยที่รักษาเสร็จแล้วจะไม่ค่อยถูกนำมาใช้ แต่จำเป็นต้องเก็บไว้ตามกฎและกรณีเกิดป่วยครั้งต่อไป ซึ่ง tiering technology จะย้ายข้อมูลผู้ป่วยเก่าออกไปวางบนคลาวด์จนกว่าจะมีการดึงกลับมาใช้อีกครั้ง
ในบริษัทธุรกิจสื่อต่างๆ ทีมผลิตต้องการเข้าถึงตัววิดีโอ ตัวหนังสือ ข้อมูลเสียง และไฟล์ภาพกราฟิก เพื่อทำข่าวรายวัน ดังนั้นเราจะเห็นประโยชน์ของการเก็บ hot data เหล่านี้ไว้ใกล้ตัวแทนที่จะต้องรอโหลดข้อมูลจากคลาวด์ได้อย่างชัดเจน และเมื่อวงจรการทำข่าวนี้จบลง
การที่ยังเก็บ cold data ไว้บน all-flash arrays นั้นก็เหมือนกับการนำรถยนต์สปอร์ตหรูอย่าง Aston Martin มาใช้เป็นรถโรงเรียน ซึ่งเป็นการใช้งานที่สิ้นเปลืองพื้นที่ ศักยภาพ และเงินอย่างสูญเปล่า แทนที่จะนำข้อมูลที่ใช้เสร็จแล้วไปพักบนคลาวด์ เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ข้อมูลกลายเป็นสกุลเงินในเศรษฐกิจยุคใหม่ของเราได้นั้น ท้ายที่สุดแล้วข้อมูลควรต้องถูกจัดเก็บอย่างคุ้มค่าและสามารถโอนถ่าย ใช้งาน และโยกย้ายผ่านระบบโครงสร้างต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ถึงแม้การจัดการข้อมูลราวสินทรัพย์ประเภทหนึ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ข่าวดีสำหรับเราคือ การมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถเข้ามาช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการและทำให้เป็นจริงได้สะดวกขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรรับมือกับ bits และ bytes ด้านการจัดการข้อมูลได้มากกว่าเดิม เพื่อค้นพบโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ เสริมสร้างนวัตกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสู่จุดสูงสุด