“Intel Core เจนเนอเรชั่น โปรเซสเซอร์สำหรับ IoT มอบประสิทธิภาพในการทำงานที่ก้าวไปอีกขั้น สำหรับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมการค้าปลีก การผลิต สาธารณสุขและความปลอดภัยทางดิจิทัล
มีอะไรใหม่: อินเทลได้ทำการเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 12 (ภายใต้โค้ดเนม Alder Lake S-series และ H-series) ณ งาน CES 2022 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ตระกูลแรกที่ได้รับการปรับปรุง Edge เพื่อนำเสนอสถาปัตยกรรมไฮบริด ที่ได้นำ Performance-cores และ Efficient-cores รวมเข้ากับ Intel Thread Director
โดยโปรเซสเซอร์ตัวใหม่นี้ได้รับการปรับปรุงเพื่อเร่งความเร็วนวัตกรรมแอปพลิเคชั่น IoT (Internet of Things) และนำเสนอจำนวนคอร์ที่เพิ่มมากขึ้น ความสามารถขั้นสูงด้านกราฟิก สื่อ การแสดงผลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตลอดจนตัวเลือกด้านราคา ประสิทธิภาพและขุมพลังการทำงาน ให้แก่ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก การผลิต สาธารณสุข และความปลอดภัยทางดิจิทัล
“นับตั้งแต่การมอบประสบการณ์ด้านกราฟิกที่ทรงพลังให้กับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไปจนถึงการผสมผสานปริมาณเวิร์กโหลดแบบวิกฤตบนแพลตฟอร์มเทคโนโลยีซิงเกิล edge โดยโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 12 ได้ส่งมอบขุมพลังให้แก่กลุ่มลูกค้าของเราเพื่อเป็นก้าวหลักสู่การสร้างโลกที่ขับเคลื่อนโดยซอฟต์แวร์แบบไร้ขอบเขต”
จอห์น ฮีลีย์ รองประธานบริษัทอินเทลของกลุ่ม Internet of Things และผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการจัดการแพลตฟอร์มและฝ่ายการเปิดใช้งานลูกค้า
ทำไมถึงสำคัญ: ด้วยการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไฮบริดที่มีประสิทธิภาพแบบใหม่และเทคโนโลยีการประมวลผล Intel 7 ทำให้ตระกูลโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 12 สามารถมอบฟีเจอร์หลักที่แตกต่างจากโซลูชั่นอื่นๆให้แก่กลุ่มลูกค้าด้านการค้าปลีก สาธารณสุข การผลิตและวิดีโอ ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวรวมไปถึง
• ประสิทธิภาพการประมวลผลขั้นสูงและความยืดหยุ่นสำหรับเวิร์กโหลก IoT ที่หนักขึ้น
• ปัญญาประดิษฐ์ที่เร็วขึ้นและความสามารถในการเรียนรู้เชิงลึกโดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์เสริม
• ความน่าเชื่อถือของเงื่อนไขการใช้งาน
• หน่วยประมวลผลกราฟิกที่ดีขึ้นเพื่อรองรับการแสดงผลระดับ 4K และ 8K
• การรักษาความปลอดภัยบนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เพื่อป้องกันอุปกรณ์ IoT จากการถูกโจมตี
• ระบบนิเวศที่แข็งแรงและแหล่งข้อมูลแบบเปิดเพื่อรองรับระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย และช่วยให้ลูกค้า IoT สามารถเลือกการเริ่มใช้งานบนระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมสำหรับแอปพลิเคชั่น
เกี่ยวกับ Alder Lake S-series: โปรเซสเซอร์เดสก์ท็อป Intel Core เจนเนอเรชั่น 12 สำหรับ IoT มอบประสิทธิภาพการทำงานซิงเกิลเธรดเร็วขึ้นสูงสุด 1.36 เท่า ประสิทธิภาพการทำงานมัลติเธรดเร็วขึ้นสูงสุด 1.35 เท่า ประสิทธิภาพการทำงานกราฟิกเร็วขึ้นสูงสุด 1.94 เท่าและประสิทธิภาพการอนุมานการจัดประเภทการ์ดจอเร็วขึ้นสูงสุด 2.18 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 10
นอกจากนี้ โปรเซสเซอร์เดสก์ท็อป Intel Core เจนเนอเรชั่น 12 สำหรับ IoT ยังประกอบไปด้วย Intel UHD Graphics 770 ที่ถูกขับเคลื่อนโดยสถาปัตยกรรม Intel Xe ซึ่งรองรับการแสดงผลเสมือนจริงและการเชื่อมต่อกับหน้าจอแสดงผลแยกถึง 4 หน้าจอ รวมไปถึงการรองรับ PCIe 5.0/PCIe 4.0 และ หน่วยความจำ DDR5/DDR4 ผสมผสานเข้ากับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยและการจัดการ
และการเปิดใช้งานปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและรองรับนวัตกรรมแอปพลิเคชั่น IoT ใหม่ๆในอนาคต โดย IoT SKU มีมากถึง 16 คอร์และ 24 เธรดและพลังการออกแบบความร้อน (TDP) อยู่ที่ 35 วัตต์ถึง 65 วัตต์ ตลอดจนความสามารถในการทำงานแบบเรียลไทม์ ระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานและการสนับสนุนด้านซอฟต์แวร์ในระยะยาว
โปรเซสเซอร์เหล่านี้สามารถมอบประโยชน์ให้แก่หลากหลายอุตสาหกรรม
•กลุ่มลูกค้าการค้าปลีก ธนาคาร งานบริการและด้านการศึกษา จะสามารถพัฒนาการรวมเวิร์กโหลดได้ เพิ่มมูลค่าจากเครื่อง POS และคีออสก์ สู่การพัฒนาสู่ประสบการณ์จากจอภาพที่สามารถโต้ตอบได้
•กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมการผลิต สามารถใช้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมพีซี เอดจ์เซิร์ฟเวอร์ ตัวควบคุมขั้นสูง ระบบแมชชีนวิชั่นและแพลตฟอร์มควบคุมเสมือนจริงได้ดีกว่า
•กลุ่มลูกค้าด้านสาธารณสุข จะสามารถแสดงผลอัลตราซาวด์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีรถเข็นการแพทย์อัจฉริยะ การส่องกล้องและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดีกว่า
•กลุ่มลูกค้าด้านการรักษาความปลอดภัยทางดิจิทัล จะสามารถขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นจากการวิเคราะห์ของปัญญาประดิษฐ์ เครื่องบันทึกวิดีโอเครือข่ายและ Video Wall
เกี่ยวกับ Alder Lake H-series: โปรเซสเซอร์โมบายล์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 12 สำหรับ IoT ได้รับการประมาณว่าประสิทธิภาพการทำงานซิงเกิลเธรดเร็วขึ้นสูงสุด 1.04 เท่า ประสิทธิภาพการทำงานมัลติเธรดเร็วขึ้นสูงสุด 1.18 เท่า และประสิทธิภาพการทำงานกราฟิกเร็วขึ้นสูงสุด 2.29 เท่า เมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 11 โดย SKUs เหล่านี้มีฟีเจอร์มากถึง 14 คอร์และ 20 เธรดและพลังการออกแบบความร้อน (TDP) อยู่ที่ 35 วัตต์ถึง 45 วัตต์
โดยอินเทลได้เปิดตัว U-series และ P-series ของโปรเซสเซอร์ Intel Core เจนเนอเรชั่น 12 กับพลังการออกแบบความร้อนจาก 15 วัตต์ถึง 28 วัตต์ นอกจากนี้จอแสดงผล 4 หน้าจอช่วยให้การติดตั้ง Video Wall เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยกราฟิก Intel Iris X ที่ผสมผสานกับการใช้งานของ AI เพื่อการสรุปผลและสร้างสถานการณ์สำหรับแมชชีนวิชัน
โปรเซสเซอร์เหล่านี้มอบประโยชน์ให้แก่หลากหลายอุตสาหกรรม
• กลุ่มลูกค้าการค้าปลีก ธนาคาร งานบริการและการศึกษา จะสามารถพัฒนาการรวบรวมเวิร์กโหลดได้ และเพิ่มประสบการณ์ด้วยจอแสดงผล 4 หน้าจอ สำหรับ Video Wall รวมไปถึงกระดานไวท์บอร์ดและคีออสก์ที่สามารถโต้ตอบได้โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการการวิเคราะห์
• กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมจะสามารถใช้ประโยชน์จากแมชชีนวิชั่นในการตรวจจับได้ดีขึ้น รวมเข้ากับแผง Human-machine Interface และอุปกรณ์พีซีเกรดอุตสาหกรรม
• กลุ่มลูกค้าด้านสาธารณสุขจะแสดงภาพทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพขึ้น เช่น การอัลตราซาวด์ด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือการวิเคราะห์เพื่อช่วยใช้ในการวินิจฉัย การแพทย์ทางไกลและวิทยาการหุ่นยนต์
• กลุ่มลูกค้าด้านการรักษาความปลอดภัยทางดิจิทัลจะสามารถใช้แมชชีนวิชั่นในการปรับใช้เอดจ์ สามารถใช้เครื่องบันทึกวิดีโอเครือข่ายกับความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ได้ และสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้สำหรับการใช้งานแอปพลิเคชั่น รวมไปถึง ตึกอัจฉริยะ โรงงานอัจฉริยะและเมืองอัจฉริยะ