Thursday, November 21, 2024
AIArticlesMarTech

ทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธุรกิจ ในครึ่งปีหลัง 2566

Accenture Song

รายงานประจำปี ของ Accenture Song ซึ่งคาดการณ์และส่งสัญญาณให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ รวบรวมเทรนด์และเรื่องที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงในปี 2566 ที่สร้างด้วยพลังของ AI

วามไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในโลกอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ กันมากขึ้น รวมถึง AI, web3 และการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น (Tokenization) ก่อเกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ ชุมชน และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในยุคถัดไป

ในอีกด้านหนึ่ง ธุรกิจและผู้นำองค์กรควรเตรียมพร้อมสำหรับการปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไปจากการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ซึ่ง Accenture_Song องค์กรธุรกิจครีเอทีฟขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ในเครือเอคเซนเชอร์ ได้คาดการณ์ไว้และจัดทำเป็นรายงาน Accenture Life Trends 2023 (เดิมชื่อ Fjord Trends)

เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยนั้น มีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก จากข้อมูลของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) คาดว่า เศรษฐกิจดิจิทัลจะคิดเป็นสัดส่วนถึง 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยภายในปี 2570 เพิ่มขึ้นจากระดับ 17% ในปี 2561

ในขณะที่ประเทศไทย รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเร่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้เป็นหนึ่งในกลไกหลักเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ธุรกิจต่างๆ ก็ควรเกาะติด 5 เทรนด์ความเคลื่อนไหวระดับโลกในด้านต่างๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ที่จะหล่อหลอมธุรกิจ วัฒนธรรม และสังคม ตลอดจนสร้างความยืดหยุ่นและขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 นี้

โทมัส มูริตเซน ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Accenture Song กล่าวว่า “การขับเคลื่อนการเติบโตในปัจจุบัน จำเป็นต้องหาแนวทางใหม่ๆ ในการทำธุรกิจที่สร้างความเชื่อมโยงกับผู้คน เพราะผู้คนต่างสงสัยในเรื่องที่รู้สึกได้ว่ามีการควบคุมชีวิตและส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขา จึงถือเป็นโอกาสดีที่แบรนด์ต่างๆ และนักการตลาด จะได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายมากขึ้น”

“ซึ่งจากประสบการณ์ที่เราได้ทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อปรับมุมมองการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า เห็นว่าธุรกิจจะต้องมองภาพให้กว้างขึ้น จะได้เข้าใจถึงภาพรวมของทั้งชีวิตลูกค้า ปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการและการจัดลำดับความสำคัญในชีวิตลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป”

Accenture Song ได้นำคลังข้อมูลเชิงลึกในเครือข่ายนักออกแบบ นักคิดสร้างสรรค์ นักเทคโนโลยี นักสังคมวิทยา และนักมานุษยวิทยาทั่วโลก ประมวลออกมาเป็นรายงานประจำปี ซึ่งคาดการณ์และส่งสัญญาณให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ รวบรวมเทรนด์และเรื่องที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงในปี 2566 มาพร้อมภาพประกอบที่สร้างด้วยพลังของ AI

Source: Accenture Life Trends 2023, Accenture Song

5 เทรนด์ที่สำคัญ ประกอบด้วย

1. เราอยู่ในวิกฤตที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่จะปรับตัวได้

โลกกำลังเคลื่อนไปจากวิกฤตหนึ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกไปสู่อีกวิกฤตหนึ่ง ข้อเท็จจริง คือ โลกอยู่ควบคู่กับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มายาวนานนับพันปี ผู้คนจึงสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับความไม่แน่นอน ด้วยทักษะการตอบสนอง 4 อย่างสลับกันไป คือ

การสู้ (Fight) หมายถึง การต่อสู้ด้วยการเริ่มออกความเห็นต่างๆ กับสิ่งที่ไม่ยุติธรรมต่อตัวลูกค้า, การมองหาทางเลือกอื่น (Flight) หมายถึง ผู้คนจะมองหาทางเลือกอื่น เช่น การย้ายถิ่นฐาน การเปลี่ยนระบบการเงิน และการค้นหาแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เมื่อผู้คนกำลังสูญเสียไว้วางใจใครก็ตาม ที่จะดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของพวกเขา

การเปลี่ยนเป้าหมายไปสู่สิ่งที่ควบคุมได้ (Focus) หมายถึง ผู้คนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังที่สิ่งที่พวกเขาควบคุมได้ เมื่อผู้คนไม่รู้ว่าจะวางแผนอย่างไรสำหรับอนาคต หรือเมื่อความอิสระในการวางแผนของพวกเขาถูกจำกัด พวกเขาจะมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่พวกเขาควบคุมได้

และการหยุดทุกสิ่งอย่าง (Freeze) หมายถึง ภาวะที่ผู้บริโภค ไม่สามารถจัดการสิ่งรอบตัวได้ หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ผู้คนจำนวนมากจะใช้วิธีการหยุดหรือการเลิกทำทุกอย่าง เป็นกลไกในการเผชิญกับปัญหา

ซึ่งทั้ง 4 ประการนี้ส่งผลต่อสิ่งที่พวกเขาซื้อ รวมทั้งมุมมองต่อแบรนด์และนายจ้าง นี่เป็นตัวแปรสำคัญที่แบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม

2. ความภักดีต่อองค์กรและแบรนด์ในยุคถัดไปจะเป็นแบบไหน

ในโลกที่ไม่มั่นคงแน่นอน ผู้คนต่างแสวงหาที่ที่พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง แบรนด์ยุคใหม่จึงถูกสร้างขึ้นในลักษณะชุมชนก่อน เพื่อวางแนวทางของความภักดีและการมีส่วนร่วมของแบรนด์

ตัวอย่างเช่น ผู้เข้าร่วมกลุ่มวิจัยโฟกัสกรุ๊ปของเอคเซนเชอร์ส่วนใหญ่ ต่างเคยลองทำงานอดิเรกใหม่ๆ หรือเข้าร่วมชุมชนใหม่ในช่วง 6 – 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้น มีบทบาทในการขับเคลื่อน 3 องค์ประกอบ ที่เมื่อประสานกันแล้ว ทำให้เกิดเป็นโมเดลนี้ขึ้นมา

  • ชุมชนที่ให้ความรู้สึกเป็นเจ้าของ: บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Reddit, Discord และ Twitch
  • เหรียญประจำแพลตฟอร์ม (Token Gating): ให้สิทธิพิเศษในการเข้าถึงเฉพาะสำหรับ ผู้ถือโทเค็นเฉพาะเท่านั้น”
  • ของสะสม: ศิลปะดิจิทัล ลายเซ็น การ์ดสะสม และอื่นๆ
3. ความสำคัญของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ในการทำงาน

ในขณะที่ยังคงมีการถกเถียงกันเรื่องการกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศ สิ่งที่ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ ยังไม่ใช่ทางที่หลายคนจะทำได้สำเร็จ ทุกคนต่างรู้สึกถึงการเสียผลประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้ในที่ทำงาน เช่น การมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันได้เสมอ การให้คำแนะนำใกล้ชิดกับพนักงานรุ่นน้อง

ซึ่งตอนนี้ ผลของการสูญเสียสิ่งเหล่านี้เป็นที่ชัดเจนขึ้น เพราะเมื่อขาดการมีส่วนร่วมแบบตัวต่อตัว บริษัทอาจค่อยๆ สูญเสียระบบพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา นวัตกรรม วัฒนธรรม และการไม่แบ่งแยกกัน จึงถึงเวลาแล้วที่ผู้นำควรกลับไปคิดวางแผนที่สมเหตุสมผลและให้ประโยชน์ร่วมกัน   

4. AI กำลังกลายเป็นผู้ช่วยด้านความคิดสร้างสรรค์

ทุกวันนี้ AI เป็นสิ่งที่คนใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องมือใหม่ในกระบวนการสร้างสรรค์ และทันทีที่มีการใช้ โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) ซึ่งคือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่จำลองการทำงานโครงข่ายประสาทในสมอง อย่างแพร่หลายในการสร้างภาษา ภาพ และดนตรีขึ้นมาได้

โดยใช้ความพยายามหรือทักษะเพียงเล็กน้อย การพัฒนาสิ่งต่างๆ ด้วย AI ก็ตีตลาดด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ เมื่อมาถึงขั้นนี้ จึงนับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อในวงการความคิดสร้างสรรค์ บริษัทต่างๆ จึงต้องพิจารณาว่า จะสร้างความโดดเด่นในยุคที่มีคอนเทนต์จาก AI มากมายได้อย่างไร และหาวิธีใช้ AI ช่วยเร่งความเร็วและดันเอกลักษณ์ความเป็นต้นแบบด้านนวัตกรรม

5. กระเป๋าเงินดิจิทัลอาจช่วยแก้วิกฤตเรื่องอัตลักษณ์ในโลกดิจิทัล

การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลและการนำไปใช้ในทางที่ผิดนั้น น่าจะพัฒนาไปสู่อีกยุคหนึ่งนานแล้ว ความโปร่งใสและความเชื่อใจในประสบการณ์กับแบรนด์ทางออนไลน์ จึงลดลงอย่างรวดเร็วไปควบคู่กัน แต่อำนาจการควบคุมข้อมูลก็จะย้อนกลับมาที่ผู้ใช้ในไม่ช้า

กระเป๋าเงินดิจิทัลที่มีโทเค็น (ซึ่งใช้แทนวิธีการชำระเงิน ข้อมูล ID บัตรสะสมคะแนน และอื่นๆ) จะช่วยให้คนตัดสินใจได้ว่าต้องการแชร์ข้อมูลมากน้อยเพียงใดกับธุรกิจ หรือแม้แต่การขาย ซึ่งนับเป็นข่าวดีสำหรับแบรนด์ เพราะข้อมูลที่ผู้คนมอบให้จะมีค่ามากกว่าข้อมูลที่ได้จากบุคคลที่สาม ซึ่งไม่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลไว้อีกต่อไปในโลกที่ไม่มีการเก็บคุกกี้

บทสรุป

การเปลี่ยนแปลงในการควบคุมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอำนาจ และการเปลี่ยนแปลงในการควบคุมที่ดูเหมือนเล็กน้อยเหล่านี้จะเปลี่ยนพลวัตของอำนาจในระดับระบบ สร้างผลลัพธ์จะดูแตกต่างจากที่เราเคยเห็นมาก่อน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและเทคโนโลยีที่เติบโต

ความสัมพันธ์ทางการตลาดจะเปลี่ยนไปเนื่องจากพลังที่เปลี่ยนไประหว่างแบรนด์และลูกค้า ลูกค้าจะมีกลไกบางอย่างเพื่อให้พื้นที่สำหรับแบรนด์ต่างๆ ซึ่งจะสามารถปกป้องข้อมูลของตนได้ตามต้องการ ผู้นำทางธุรกิจจะต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบที่ผันผวนด้วยรูปบบการทำงานแบบผสมผสาน รวมถึงพนักงานที่พรัอมทำงานทุกสถานการณ์เพื่อประโยชน์ของนวัตกรรมและความสัมพันธ์ในการทำงาน

บทบาทของคนในอุตสาหกรรม ทั้งผู้บริหารธุรกิจในฐานะผู้นำ คนงาน ลูกค้า ผู้บริโภค นักสร้างสรรค์เรื่องราวต่างๆ จะต้องมุ่งประเด็นไปที่การหาทางดึงการควบคุมบางอย่างกลับคืนมา ในที่สุดเมื่อความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เริ่มนิ่ง ผู้คนจะลืมตาขึ้นเพื่อดูภาพที่เกิดขึ้นใหม่ของความคืบหน้าครั้งนี้

Featured Image: Image by rawpixel.com on Freepik