Tuesday, October 22, 2024
ArticlesHealthTech

เทคโนโลยีทางการแพทย์ทางไกลที่ต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อโอกาสเข้าถึงระบบสาธารณสุข

Telemedicine

การถ่ายทอดและการเรียนรู้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล เป็นหนึ่งประเด็นที่มีความจำเป็นสำหรับอีโคซีสเต็มทางการแพทย์ เราเห็นความพยายามของเอกชนอย่างฟิลิปส์ที่ร่วมกับโรงพยาบาลยกระดับองค์ความรู้ในการตรวจรักษาผ่านระบบทางไกล

อกจากความก้าวหน้าของเครื่องมือทางการแพทย์แล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ Health Informatics ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญสำหรับระบบสาธารณสุข เพราะการจัดเก็บข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลมารวมกันอย่างเป็นระบบ การประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ 

รวมถึงความสามารถในการเรียกดูข้อมูลจากที่ใดก็ได้ ล้วนช่วยสนับสนุนกระบวนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยลดภาระงาน เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย ส่งผลให้การดูแลรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุข อย่างผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก 

สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากกรมควบคุมโรคพบว่า ในปี 2559 อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ที่ 48.7 ต่อ 100,000 ประชากร 

ขณะที่ ตัวเลขจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เมื่อปี 2561 พบว่า มีความชุกของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่มีอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 1,396.4 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน โดยมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปี ในขณะที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมีอยู่อย่างจำกัดและไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล

 เข้าใจว่าผู้คนในแวดวงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ ต่างตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และพยายามนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของอายุรแพทย์โรคหัวใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หวังให้ผู้ป่วยมีโอกาสเข้าถึงระบบสาธารณสุขมากขึ้น ในขณะที่การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในระบบโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีการให้ความรู้และฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ 

ขอยกตัวอย่างการทำงานของ ฟิลิปส์ เป็นหน่ึงในความพยายามแก้ปัญหาดังกล่าว ที่ได้ร่วมกับศูนย์หัวใจภาคเหนือ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และงานประชุมวิชาการด้านโรคหัวใจ (Chiangmai Cardiology Conference; CMCC) จัด การอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในเชียงใหม่และภาคเหนือเกี่ยวกับการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) และการใช้ระบบสารสนเทศด้านโรคหัวใจ (Cardiology Informatics)

เป็นความพยายามของเอกชนที่ยื่นมือเข้ามาร่วมกับผู้ปฏิบัติและผู้ใช้เทคโนโลยีโดยตรงอย่างโรงพยาบาลขยายความสามารถในการตรวจรักษาผ่าน Telemedicine

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กฤษณ์ ลีมะสวัสดิ์ อาจารย์ประจำหน่วยวิชาโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “เนื่องจากแพทย์เฉพาะทางมีจำนวนจำกัด ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล” 

“ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยมากขึ้นทุกปี ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องรอคิวในการเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นเวลานาน และอาจมีความลำบากในการเดินทางเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลขนาดใหญ่” 

“เทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้ หากมีการนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างโรงพยาบาล จะทำให้แพทย์ประจำโรงพยาบาลเครือข่ายสามารถปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลใหญ่ได้” 

“สามารถลำดับความเร่งด่วนของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ส่งผลให้การบริหารจัดการผู้ป่วย และกระบวนการดูแลรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างความแข็งแรงให้กับเครือข่ายสาธารณสุข เราจำเป็นต้องคอยยกระดับความรู้และพัฒนาทักษะของบุคลากรอยู่เสมอ จึงได้จัดงานอบรมเชิงปฏิบัตินี้ขึ้น เพื่อพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ให้สามารถนำความรู้และเทคนิคการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ไปประยุกต์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่”

 องค์ความรู้เทคโนโลยี Telemedicine ที่ต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

ในกระบวนการทำงานเกี่ยวกับของบุคลากรทางแพทย์แบบการรักษาทางไกล สำหรับเรื่อง การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) และการใช้ระบบสารสนเทศด้านโรคหัวใจ (Cardiology Informatics) ล้วนต้องอาศัยองค์ความรู้ด้านเครื่องมือ เทคโนโลยี รวมถึงการได้ใช้งานอยู่อย่างสม่ำเสมอ ถึงจะเกิดความเชี่ยวชาญและไ้ด้ประสิทธิภาพสูงสุด

ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีสารสนเทศด้านโรคหัวใจของฟิลิปส์ (IntelliSpace Cardiovascular; ISCV) เป็นเทคโนโลยีด้านการจัดเก็บและการประมวลผลข้อมูลทางด้านโรคหัวใจ โดยสามารถเชื่อมต่อข้อมูลได้จากหลายแหล่ง และหลายเครื่องมือที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram), เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram; ECG)

เครื่องเอกซเรย์สำหรับใช้วินิจฉัย และให้การรักษาสำหรับหัตถการด้วยการสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization Laboratory) หรือเครื่องตรวจอื่นๆ ที่ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด อาทิ เครื่องตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging; MRI) และเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography Scan) เป็นต้น 

และยังมีระบบช่วยประมวลผลข้อมูลเพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยทางคลินิก ช่วยให้แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ในจุดเดียว และยังเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างแผนกต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงพยาบาลได้ด้วย 

นอกจากนี้ ระบบสารสนเทศด้านโรคหัวใจของฟิลิปส์ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ Real-time ทำให้แพทย์ที่ตรวจผู้ป่วย ณ โรงพยาบาลห่างไกล สามารถปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ทันที

ด้าน วิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ฟิลิปส์ เราให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ และการพัฒนาการดูแลรักษาผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ เราจึงได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์อย่างไม่หยุดยั้ง” 

“ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอความล้ำสมัยของ เทคโนโลยีทางการแพทย์ ผ่านเครื่องมือแพทย์ของเรา แต่ในโลกแห่งดิจิทัลและการดูแลรักษาโรคหัวใจที่มีความซับซ้อนมากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ เราจึงพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว” 

“และเราก็เห็นความสำคัญและประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทย โดยไม่เพียงแต่ความล้ำสมัยของเทคโนโลยีในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วยด้วย เพื่อให้บุคลากรทางแพทย์และโรงพยาบาลมีความมั่นใจในการนำเทคโนโลยีของเราไปใช้”