Thursday, November 21, 2024
NEWS

เซ็นทรัลพัฒนา รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565

เซ็นทรัลพัฒนา รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รายได้รวม 9,349 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 83% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และกำไรสุทธิ 2,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,154% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน

นภารัตน์  ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา

ริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ “CPN” รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 เติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 9,349 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 83% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และกำไรสุทธิ 2,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,154% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน

พร้อมเดินหน้าแผนลงทุน 5 ปี ดันธุรกิจ “Retail-Led Mixed-Use Development” ที่ประกอบด้วย ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม โดยมีธุรกิจศูนย์การค้าเป็นแกนหลัก เติบโตทั่วประเทศตามเป้าหมาย รวมทั้งหมด 180 โครงการ ครอบคลุมมากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2569

พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรอสังหาริมทรัพย์ไทยรายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ตอกย้ำวิสัยทัศน์ Imagining Better Futures For All  มุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดี เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน และโลกของเรา

นภารัตน์  ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “จากปัจจัยบวก

ได้แก่ การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว และประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเริ่มกลับมาคึกคัก ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นการจับจ่ายจากภาครัฐ

นอกจากนี้ รายได้ยังมาจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่เพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัล ศรีราชา เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล จันทบุรี รวมถึงการเข้าซื้อบริษัท สยามฟิวเจอร์ส ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ส่งผลให้พื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน

ส่งผลให้ภาพรวมรายได้ธุรกิจให้เช่าและบริการเติบโตขึ้น  นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการต้นทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้นอีกด้วย”

“เซ็นทรัลพัฒนายังเดินหน้าแผน 5 ปี ลงทุนโครงการในรูปแบบ Retail-Led Mixed-Use Development โดยประกาศเปิดตัว 2 โครงการมิกซ์ยูสโมเดลใหม่ “เซ็นทรัล นครสวรรค์” และ “เซ็นทรัล นครปฐม” รวมมูลค่า 14,000 ล้านบาท ที่จะเปิดให้บริการประมาณ Q1-Q2 ปี2567

โดยตั้งเป้าให้ทั้ง 2 โครงการ ปั้นเมืองศักยภาพแห่งใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน พร้อมทั้งพาคู่ค้าเติบโตขยายสาขาไปทั่วประเทศตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งเปิดให้บริการโรงแรม Centara Korat ภายในโครงการมิกซ์ยูสหมื่นล้าน “เซ็นทรัล โคราช” ในเดือนกันยายน 2565 ตามแผน

ซึ่งลงทุนและพัฒนาโดย ‘เซ็นทรัลพัฒนา’ และบริหารโดย ‘Centara Hotels & Resorts’ เป็นโรงแรมแห่งที่ 3 ของบริษัทฯ และเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในโคราชมาตรฐานระดับ International Standard ที่จะช่วยบุกเบิก Travel Ecosystem ให้กับจังหวัด ปั้นเป็น No.1 Destination ตอบโจทย์การเดินทางทั้ง ‘Business + Leisure’ กระตุ้นท่องเที่ยว Long Stay & Workation ช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพักอาศัยนานขึ้น

พร้อมปั้นโคราชเป็น ‘MICE City’ ศูนย์กลางจัด MICE Events ของภูมิภาค ด้วยพื้นที่ Convention Hall ในศูนย์การค้ากว่า 3,200 ตร.ม. และพื้นที่ห้องประชุมของโรงแรมรวมกว่า 1,000 ตร.ม. รองรับการจัดงานประชุมระดับประเทศ และนานาชาติ

นอกจากนี้ ยังเติมเต็มมิติการใช้ชีวิตแบบ Urbanization ให้คนโคราชด้วย ‘House of Kin’ บริการอาหารบุฟเฟต์แบบตลอดทั้งวัน เหมาะสำหรับทุกคนและทุกวัยในครอบครัว และ Rooftop Bar ชมวิวเมืองแบบ 360 องศา

สำหรับคอมมูนิตี้มอลล์ เตรียมเปิด “Marché  Thonglor” (Market Place Thonglor เดิม) ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดในย่านทองหล่อ ภายในต้นปี 2566 โครงการที่อยู่อาศัย ได้เปิดขายโครงการ ESCENT VILLE 3 โครงการในจังหวัด สุราษฎร์ธานี สุพรรณบุรี และฉะเชิงเทราไปแล้ว

โดยมีอีก 3 โครงการใหม่ที่จะเปิดขายภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่ คอนโดมิเนียม ESCENT VILLE ตรัง และโครงการบ้านเดี่ยวแนวราบ 2 โครงการคือ นิรติ เชียงใหม่ และนินญา ราชพฤกษ์

เซ็นทรัลพัฒนา ตอกย้ำการเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์เพื่อความยั่งยืน โดยได้รับรางวัล “Highly Commended in Sustainability” จากงาน SET Awards 2022 และติดอันดับหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 อีกด้วย พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรอสังหาริมทรัพย์ไทยรายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050

โดยผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ กลุ่มปตท. ภายใต้แบรนด์ ออน- ไอออน (on-ion)  และบริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด เดินหน้าพันธกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม ขยายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 แห่งทั่วประเทศ เพื่อร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมไลฟ์สไตล์พลังงานสะอาด

อีกทั้ง เดินหน้าโครงการ ‘One Million Trees Movement – ปลูกป่าซับคาร์บอน’ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนการดูดซับคาร์บอนผ่านการปลูกป่า สร้างสมดุลให้กับสภาพภูมิอากาศของโลก โดยมีเป้าหมายในการปลูกป่า 500 – 1,000 ไร่ต่อปี (ภายใน 10 ปี / ระหว่างปี 2565-2575) หรือจนกว่าจะครบ 1 ล้านต้นอีกด้วย

โดยบริษัทฯ ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ Imagining Better Futures For All ที่พร้อมจะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ดีและยั่งยืน ไปพร้อมกับการดูแลผู้คน ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกันกับเรา” ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้ารวมทั้งหมด 39 โครงการ

ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 แห่ง (ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ ต่างจังหวัด 21 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์การค้าเอสพลานาด 1 แห่ง และศูนย์การค้าเมกะ บางนา (ภายใต้กิจการร่วมค้าอีก 1 แห่ง) และคอมมูนิตี้ มอลล์ 17 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 2.3 ล้านตารางเมตร

นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 33 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 3 แห่ง โครงการที่พักอาศัย 25 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT  VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN  (ทาวน์โฮม) ESCENT AVENUE (โฮมออฟฟิศ)  นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่)

และโครงการแนวราบหลากหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ “นิรติ” ที่เชียงราย บางนา และดอนเมือง นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” big project ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567  เป็นต้นไป

สำหรับทิศทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2565-2569) บริษัทฯ เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งที่ประกาศไปแล้ว และยังไม่ได้ประกาศ ซึ่งมีทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า

รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน รวมทั้งยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน