Thursday, December 26, 2024
Articles

3 ปัจจัยมีผลต่อการเติบโต ยอดการใช้จ่ายด้านความปลอดภัย

การ์ทเนอร์

การ์ทเนอร์เผย 3 ปัจจัยมีผลต่อการเติบโต ต่อการใช้จ่ายด้านความปลอดภัยทั่วโลก คาดมูลค่าการใช้จ่ายทางด้านความปลอดภัยและจัดการความเสี่ยงในปี 2566 จะมีมูลค่ากว่า 188.3 พันล้านดอลลาร์ ในไทยจะเพิ่มเป็น 16.7 พันล้านบาท

าร์ทเนอร์ อิงค์ เปิด 3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายด้านความปลอดภัย ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของการทำงานแบบไฮบริดและการทำงานระยะไกล, การเปลี่ยนผ่านของเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (หรือ VPN) ไปเป็นเทคโนโลยีการเข้าถึงเครือข่าย Zero Trust Network Access (หรือ ZTNA) และ การเปลี่ยนไปใช้รูปแบบการจัดส่งข้อมูลบนคลาวด์

การใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการความเสี่ยงในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ นั้นคาดว่าจะเติบโตขึ้น 11.3% หรือมีมูลค่ากว่า 188.3 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2566

โดยการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์จะเป็นหมวดหมู่ที่เติบโตสูงสุดในอีกสองปีข้างหน้า องค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ESG ความเสี่ยงจากบุคคลที่สาม ความเสี่ยง ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) และความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวยังคงเพิ่มมากขึ้น

การ์ทเนอร์ คาดว่า ตลาดการจัดการความเสี่ยงแบบบูรณาการ (Integrated Risk Management หรือ IRM) จะเติบโตระดับเลขสองหลักจนถึงปี 2567 จนกว่าการแข่งขันในตลาดจะมากขึ้นและมีโซลูชันที่ราคาต่ำกว่า

บริการด้านความปลอดภัย (Security Services) ซึ่งประกอบด้วย บริการการให้คำปรึกษา การสนับสนุนด้านฮาร์ดแวร์ การนำไปใช้งาน และบริการจากภายนอก ถือเป็นหมวดการใช้จ่ายด้านความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่าเกือบ 72 พันล้านดอลลาร์ ในปีนี้ และคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 76.5 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2566

การใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของข้อมูลในประเทศไทย

สำหรับประเทศไทย การใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของข้อมูลและการบริหารความเสี่ยงในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ คาดว่าจะเติบโตขึ้น 11.8% หรือประมาณ 16.7 พันล้านบาทในปี 2566 ขณะที่บริการรักษาความปลอดภัย (Security Services) มียอดการใช้จ่ายมากที่สุดขององค์กรธุรกิจในประเทศไทย

โดยการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ (Cloud Security) และการจัดการความเสี่ยงแบบบูรณาการ (Integrated Risk Management หรือ IRM) จะเป็นกลุ่มตลาดที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในปีนี้และปีหน้า

Remote Work ยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการลงทุน

ความต้องการเทคโนโลยีที่เอื้อกับสภาพแวดล้อมการทำงานระยะไกลและแบบไฮบริดที่มีความปลอดภัยจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2565 เนื่องจากองค์กรธุรกิจมองหาการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานจากบ้านที่ปลอดภัย โดยที่เป็นโซลูชันที่มอบผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีต่างๆ อาทิ ไฟร์วอลล์เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application Firewalls หรือ WAF) การจัดการการเข้าถึง (Access Management หรือ AM) แพลตฟอร์มการป้องกันปลายทาง (Endpoint Protection Platform หรือ EPP) และเว็บเกตเวย์ที่ปลอดภัย (Secure Web Gateway หรือ SWG) จะกลายเป็นที่ต้องการในช่วงสั้นๆ อย่างน้อยจนถึงในปีนี้

ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของ Zero Trust Network Access 

ZTNA เป็นกลุ่มความปลอดภัยเครือข่ายที่มีอัตราการเติบโตรวดเร็วที่สุด โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโต 36% ในปีนี้และ 31% ในปี 2566 โดยได้ปัจจัยหนุนมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการป้องกันแบบ Zero Trust ให้กับผู้ปฏิบัติงานระยะไกลและองค์กรลดการพึ่งพาเครือข่าย VPN เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึง

เมื่อองค์กรคุ้นเคยกับ ZTNA แล้ว ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นที่จะใช้ในกรณีต่างๆ มากกว่าแค่การใช้ในรูปแบบการทำงานระยะไกลเท่านั้น แต่ยังใช้สำหรับพนักงานที่มาทำงานในสำนักงานด้วย

การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 เทคโนโลยี ZTNA จะให้บริการการเข้าถึงจากระยะไกลใหม่อย่างน้อย 70% มากกว่าบริการแบบ VPN ที่เพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 10%

เปลี่ยนไปใช้โมเดลการจัดส่งบนคลาวด์

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบ มัลติคลาวด์ องค์กรต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นตลอดจนความซับซ้อนของการดำเนินงาน รวมถึงการจัดการเทคโนโลยีที่หลากหลาย

การ์ทเนอร์คาดว่าจากปัจจัยที่ว่านี้นำไปสู่การกระตุ้นให้ การรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ (Cloud Security) และส่วนแบ่งการตลาดของโซลูชันคลาวด์เนทีฟที่เติบโตมากขึ้น

ในปี 2566 มูลค่าตลาดรวมของโบรกเกอร์ความปลอดภัยการเข้าถึงระบบคลาวด์ (Cloud Access Security Brokers หรือ CASB) และแพลตฟอร์มปกป้องโหลดงานบนคลาวด์ (Cloud Workload Protection Platform หรือ CWPP) จะเติบโต 26.8% คิดเป็น 6.7 พันล้านดอลลาร์

โดยความต้องการโซลูชันการตรวจจับและตอบสนองบนคลาวด์ อาทิ การตรวจจับและตอบสนองปลายทาง (Endpoint Detection and Response หรือ EDR) และการตรวจจับและการตอบสนองที่มีการจัดการ (Managed Detection and Response หรือ MDR) จะเติบโตเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไป

เรอเจโร คอนตู ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การแพร่ระบาดเร่งกระบวนการของการทำงานแบบไฮบริดและการเปลี่ยนไปใช้ระบบคลาวด์ ซึ่งสร้างความท้าทายด้านความปลอดภัยแก่ผู้บริหารไอที (CISO) ในองค์กรแบบกระจายศูนย์ที่เพิ่มมากขึ้น”

Sizing Cloud Shift, Worldwide, 2019 – 2025: Source Gartner

“ผู้บริหารความปลอดภัยด้านสารสนเทศต้องให้ความสำคัญไปที่การขยายพื้นที่ของการโจมตีที่เกิดขึ้นจากดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นต่างๆ อาทิ การนำระบบคลาวด์มาใช้ การผสานรวมเทคโนโลยี IT/OT-IoT การทำงานระยะไกล และรวมระบบโครงสร้างพื้นฐานจากองค์กรหรือผู้ให้บริการอื่นๆ ภายนอก

ซึ่งความต้องการเทคโนโลยีและบริการต่างๆ เช่น ความปลอดภัยบนคลาวด์ ความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน เทคโนโลยี ZTNA รวมถึงข้อมูลภัยคุกคามที่มีความเฉลียวฉลาดเพิ่มขึ้น สำหรับจัดการกับช่องโหว่และความเสี่ยงใหม่ๆ ที่เกิดจากการขยายการดำเนินงานเหล่านี้” คอนตูกล่าวเพิ่มเติม