ซิตี้แบงก์ อัปเดตเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง 65 เผชิญความเสี่ยงสภาพคล่องทั่วโลก ทั้งเงินเฟ้อพุ่ง ราคาพลังงานกดดัน ความไม่สมดุลของห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทาน พร้อมแนะลงทุนกระจายความเสี่ยงรับภาวะตลาดผันผวนและดอกเบี้ยขาขึ้น
ธนาคารซิตี้แบงก์ อัปเดตข้อมูลเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง 2565 มีแนวโน้มเผชิญปัจจัยสภาพคล่องทั่วโลก ด้านสองมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกา พบการชะลอตัวของการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศจากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน
ในขณะที่จีนกลับทยอยให้เห็นถึงการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ แม้ยังได้รับแรงกดดันจากนโยบาย โควิดเป็นศูนย์ ด้านจีดีพีไทยนักวิเคราะห์ซิตี้คาดอยู่ที่ 3.5% อันเป็นผลจากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา พร้อมยังคงคาดการณ์เดิมว่า กนง. เตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สามครั้งภายในปีนี้และปีหน้า เพื่อพยุงระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวมที่เริ่มทยอยฟื้นตัว
จากข้อมูลส่งผลให้ภาพรวมของตลาดการลงทุนยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน นอกจากนี้นักวิเคราะห์ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อตราสารหนี้คุณภาพสูงที่ได้ผลประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมแนะ การลงทุนครึ่งปีหลัง 2565 ได้แก่ ลดการการถือเงินสดด้วยการลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ที่คาดการณ์ว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ต่อด้วยการลงทุนในผู้นำอุตสาหกรรมระยะยาว เพื่อแสวงหาผลตอบแทนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีรายได้ดีอย่างสม่ำเสมอ
เช่น กลุ่มพลังงานสะอาด กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน ฟินเทค กลุ่มการดูแลสุขภาพและเภสัชกรรม ฯลฯ ปิดท้ายด้วยการลงทุนทางเลือกนอกเหนือจากสินทรัพย์หลักเพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว ควบคู่ไปกับการจับตาประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกอย่างใกล้ชิด
มร.เคน เพ็ง นักยุทธศาสตร์การลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิกฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 นักวิเคราะห์ซิตี้คาดการณ์ว่าทั่วโลกยังต้องเผชิญกับสภาวะสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังสูงในหลายประเทศ ปัญหาห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทานที่ไม่สมดุล นโยบายและมาตรการด้านการเงินและธนาคารของแต่ละประเทศที่เข้มงวดขึ้น ปัญหาราคาพลังงานจากเหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครน เป็นต้น
ในขณะที่ประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจ นำโดยสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังพบอุปสรรคจากทั้งปัญหาเงินเฟ้อยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง อัตราการว่างงานและการปรับขึ้นค่าจ้าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ยกเว้นก๊าซธรรมชาติ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ และภาคบริการ ตลอดจนการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เดินหน้าอัตราดอกเบี้ยนโยบายเชิงรุกเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้นักวิเคราะห์ซิตี้มองว่ากว่าสถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับไปยังจุดเดิมก่อนเกิดสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน อาจใช้ระยะเวลาถึง 10 ปี
ในขณะที่ประเทศจีน แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ แม้ยังได้รับแรงกดดันจากนโยบายควบคุมโควิด เป็นศูนย์ (Zero COVID Policy) โดยพบว่าดัชนี PMI ภาคบริการมีการดีดตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงการที่รัฐบาลจีนได้เตรียมออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดทุน โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจประเทศ
จากข้อมูลข้างต้นทำให้ภาพรวมตลาดการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง จากความผันผวนของตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล แต่นักวิเคราะห์ซิตี้มีมุมมองบวกต่อตราสารหนี้คุณภาพสูงที่ได้ผลประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อัตราผลตอบแทนคงที่ได้เพิ่มขึ้นถึงระดับที่พันธบัตรสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวม
นอกเหนือจากการถือครองเงินสดเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ดียังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดเพิ่มเติมได้ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรจับตาประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกอย่างใกล้ชิด เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว พร้อมกันนี้ได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ได้แก่
- Bonds are Back! – ยังแนะนำให้ลดการถือเงินสดด้วยการลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ระยะยาวที่คาดการณ์ว่า จะให้ผลตอบแทนที่ดี เช่น ตั๋วเงินคลัง (Treasury bill) พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี (10-year US Treasuries) เป็นต้น
- Long term leaders – การลงทุนในผู้นำอุตสาหกรรมระยะยาว เพื่อแสวงหาผลตอบแทนในกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีคุณภาพ มีรายได้สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่จ่ายปันผลและมีการเติบโตของการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มพลังงานสะอาด กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน ฟินเทค กลุ่มการดูแลสุขภาพและเภสัชกรรม ตลอดจนกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
- Alternative Investments in Uncertain Times – การลงทุนทางเลือกนอกเหนือจากสินทรัพย์หลักในช่วงตลาดผันผวนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในระยะยาว เช่น กองทุนบริหารความเสี่ยง หรือในสินทรัพย์ตราสารทุนนอกตลาด หรือหุ้น นอกตลาด (Private Equity) เป็นต้น
นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทย ซิตี้คาดหวังถึงการมาถึงของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 และในปี 2566 จากปัจจัยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยที่แสดงให้เห็นถึงแข็งแกร่งกว่าที่คาด อันเป็นผลจากการที่ภาครัฐยกเลิกข้อจำกัดการเดินทาง รวมถึงการที่ประเทศเพื่อนบ้านกลับมาเปิดพรมแดนอีกครั้ง
ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดซิตี้มองว่ามีแนวโน้มที่จะยังคงขาดดุลในปี 2565 สืบเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงและการใช้จ่ายในภาคค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น แต่ในปี 2566 มองว่าการเกินดุล จะเริ่มทยอยสูงขึ้นจากรายได้การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่กลับมา
โดยซิตี้ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีไทยในปี 2565 ลดลงเล็กน้อยที่ 3.5% (จากเดิม 3.6%) และปี 2566 อยู่ที่ 4.5% (จากเดิม 4.8%) เนื่องด้วยสถานการณ์การใช้จ่ายภาครัฐ และการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว รวมถึงซิตี้ยังคงความคาดการณ์ว่า กนง. จะเตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สามครั้ง โดยครั้งแรกคือในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 และอีกสองครั้งภายในช่วงครึ่งปีแรก 2566 ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ที่ก่อนหน้านี้เช่นเดิม
ด้าน เจน โอเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทยกล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ซิตี้แบงก์ได้เตรียมนำเสนอกองทุนใหม่ ๆ ให้ลูกค้าซิตี้โกลด์ รวมถึงซิตี้ไพรออริตี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การเติบโตด้านการลงทุน ล่าสุดกับการจับมือ เวลลิงตัน เมเนจเมนท์ (Wellington Management) บริษัทชั้นนำด้านบริหารกองทุนในสหรัฐฯ นำเสนอ 2 กองทุนเปิดใหม่ล่าสุด
ได้แก่ เวลลิงตัน โกลบอล เฮลท์ แคร์ ฟันด์ (Wellington Global Health Care Equity Fund) ที่มีนโยบายการลงทุนในบริษัทในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพทั่วโลก และ เวลลิงตัน เอเชีย เทคโนโลยี ฟันด์ (Wellington Asia Technology Fund) ที่มีนโยบายการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งปัจจุบันทั้งสองกองทุนเป็นกระแสการลงทุนที่น่าจับตามอง
นอกจากนี้ซิตี้แบงก์ยังนำเสนอบริการการลงทุนได้ทั่วโลกกว่า 200 กองทุน จากพันธมิตรที่หลากหลายกับ 5 บลจ.ในประเทศและ 13 บลจ.ต่างประเทศ ซึ่งมีความหลากหลายของกองทุนทั้งประเภทของสินทรัพย์ และภูมิภาคของการลงทุน ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า
อาทิ บริการผู้ดูแลบัญชีที่พร้อมให้บริการคำแนะนำและอำนวยความสะดวก ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ การลงทุนให้กับลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ พร้อมทั้งให้ลูกค้าสามารถบริหารความมั่งคั่งสะดวกในทุกโอกาสผ่านซิตี้ โมบายล์ แอปพลิเคชัน โดยลูกค้าสามารถทำการซื้อ-ขายกองทุนได้ด้วยตัวเอง การตรวจสอบความเคลื่อนไหวของพอร์ทการลงทุน การโอนเงินผ่านทางพร้อมเพย์ไปยังต่างธนาคาร หรือโอนเงินไปยังบัญชีต่างประเทศได้ง่าย ๆ รวมถึงสามารถเปิดบัญชีสกุลเงินต่างประเทศได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ฯลฯ เป็นต้น
ทั้งนี้ลูกค้าซิตี้โกลด์สามารถรับข้อเสนอพิเศษรับซื้อและขายกองทุนผ่านซิตี้ โมบายล์ แอปพลิเคชัน รับเครดิตเงินคืนค่าธรรมเนียมการซื้อ 5%* หรือสูงสุด 150,000 บาท* เมื่อมียอดซื้อกองทุนรวมที่ร่วมรายการขั้นต่ำรวม 100,000 บาท พร้อมรับเครดิตเงินเคืนเพิ่มสูงสุดอีก 150,000 บาท* เมื่อลงทุนด้วยเงินลงทุนใหม่ในกองทุนที่ร่วมรายการ
สำหรับลูกค้าใหม่รับเครดิตเงินคืนสูงสด 15,800 บาท* เมื่อเปิดบัญชีใหม่และมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตซิตี้ และรับดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 2% ต่อปี 3 เดือน ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565