Sunday, November 24, 2024
AIDigital TransformationESGGenerative AINEWS

7 ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสำหรับองค์กร รับความเปลี่ยนแปลงปี 67

บลูบิค สรุป 7 Tech Capabilities ที่องค์กรต้องมีปี 67 รับมือความเปลี่ยนแปลง เพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ ปูทางสู่การเป็น Digital-First Company เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน

ริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร คาดการณ์ 7 เทรนด์ Tech Capabilities หรือ ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสำหรับองค์กรทั่วโลกที่ต้องเริ่มประยุกต์ใช้ ปี 2567 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือปัจจัยลบและความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเมินสถานการณ์ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 โดยอธิบายว่า “เทคโนโลยีดิจิทัลจะมีอิทธิพลต่อการทำธุรกิจและดำเนินชีวิตของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การพึ่งพาเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม การปรับกระบวนการดำเนินงานเพิ่มความยืดหยุ่น มุ่งเน้นประสิทธิผล และลดความเสี่ยงในธุรกิจ”

“และมีแรงขับเคลื่อนที่จะเกิดขึ้นหลายประการ อาทิ Borderless Digital Landscape หมายถึง ธุรกิจไร้พรมแดน นำมาซึ่งโอกาส ความเสี่ยง และการแข่งขันที่รุนแรง, Digital Landscape ที่หมายถึงความแตกต่างของ ไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคแต่ละช่วงวัย, Gig Worker หรือ รูปแบบการทำงานที่รับค่าตอบแทนตามจำนวนงานที่ทำ”

“นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเศรษฐกิจ แรงกดดันด้าน ESG และความเสี่ยงจากเทคโนโลยี อาทิ จริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ (AI Ethics) และภัยคุกคามไซเบอร์”

“องค์กรต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถของตนเอง ด้วยการพัฒนาและใช้นวัตกรรมในกระบวนการดำเนินงาน ยกระดับเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุค Digital-First World ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม”

7 ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสำหรับองค์กร

พชร กล่าวว่า “จากการรวมรวมข้อมูลโดย บลูบิค ได้สรุปเป็น 7 Tech Capabilities หรือ ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสำหรับองค์กรปี 2567 ที่จะช่วยยกเครื่องการทำธุรกิจ โดยแบ่งออกเป็น 4 แกนหลัก 7 ความสามารถ เพื่อให้องค์กรสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมช่วงชิงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการวางรากฐานการเติบโตตามหลักความยั่งยืน ESG ที่จะเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว ดังต่อไปนี้

แกนที่ 1 Augmented Intelligence

เป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจแห่งอนาคต ภายใต้แนวคิดการผสานพลัง AI และมนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่กัน โดยขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาสนับสนุนแนวคิดนี้ คือ

  • Democratization of Generative AI การเข้าถึงเทคโนโลยี Gen AI ในวงกว้างจะช่วยสร้างโอกาสในแง่มุมต่างๆ ให้ธุรกิจ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้เร็วมากขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การลดงานซ้ำซาก และยกระดับการเข้าถึงลูกค้าผ่านการหา Customer Insights ด้วย AI เพื่อสร้างคอนเทนต์สำหรับลูกค้าเฉพาะราย นอกจากนี้ Gen AI ยังจะก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ทำให้เกิดธุรกิจสตาร์ตอัปใหม่ๆ ที่อาจเข้ามาดิสรัปธุรกิจรูปแบบดั้งเดิม และองค์กรที่ไม่ได้ใช้ Gen AI จะถูกคู่แข่งที่ใช้งานทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ
แกนที่ 2 Digital Ecosystem

การสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เชื่อมต่อหลายระบบและบริการเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า สามารถใช้งานได้หลากหลายผ่านช่องทางเดียว ซึ่งการสร้าง Digital Ecosystem อาทิ Super App ให้สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต ต้องให้ความสำคัญกับขีดความสามารถดังต่อไปนี้

  • Multiexperience (MX) เป็นการสร้างประสบการณ์การใช้บริการและซื้อสินค้าอย่างราบรื่นให้แก่ลูกค้า ครอบคลุมทุกจุดสัมผัสบนช่องทางดิจิทัล (Digital Touchpoints) และการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม เช่น Website, Super App, Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR) และอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) เป็นต้น อีกทั้งการบรรลุวัตถุประสงค์การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจำเป็นต้องเข้าใจและรู้จักใช้ประโยชน์จาก MX เพื่อนำไปใช้ออกแบบประสบการณ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในทุกมิติ และสร้างสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าและพนักงาน
  • Event-Driven Nano Architecture (EDNA) เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ประกอบด้วยนาโนเซอร์วิส (Nanoservices) ที่แยกออกจากกัน ซึ่ง EDNA มีจุดเด่นที่ความยืดหยุ่น สามารถพัฒนาบริการในแต่ละส่วนงานระดับนาโน รวมถึงปรับเพิ่มและลดขนาดการใช้ทรัพยากรได้อย่างอิสระกว่า Microservice ของ Event-Driven Architecture (EDA) และไม่กระทบบริการอื่นหากบางเซอร์วิสมีปัญหา อีกทั้งยังลดความซับซ้อนในขั้นตอนการทำงานและต้นทุน ด้วยเหตุนี้ EDNA จึงเป็นขีดความสามารถสำคัญในการสร้าง Digital Ecosystem ที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการทางธุรกิจได้ทุกแง่มุม
แกนที่ 3 Digital Immunity and Trust

เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร รับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขีดความสามารถที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ได้แก่

  • Generative Cybersecurity AI เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้งาน Generative AI เช่น การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลรั่วไหล และช่องโหว่การโจมตี เป็นต้น โดยใช้ Autoregressive Generative Large Language Models (LLMs) สื่อสาร หาและเพิ่มพูนความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้าง Security Use Cases นอกจากนี้ Generative Cybersecurity AI ยังสามารถประเมินความเสี่ยง ตรวจสอบ ติดตาม ระบุ ความผิดปกติบนระบบและรายงานผลให้ผู้ใช้งาน / ผู้ให้บริการทราบ ผ่านการโต้ตอบด้วยภาษามนุษย์ (Natural Language) เช่นเดียวกันกับใช้งาน Generative AI เพื่อหาคำตอบที่ต้องการ
  • AI-Enhance Security Operations เป็นเทคโนโลยี AI ที่เปรียบได้กับกระบวนการหลังบ้าน (Backend Process) ของระบบดำเนินการด้านความปลอดภัย ที่มาเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์เกี่ยวกับความปลอดภัยและแนวทางการตอบสนองต่อภัยคุกตามในรูปแบบต่างๆ โดย AI – Enhance Security Operations ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อวิเคราะห์ ค้นหา ไล่ล่าไวรัสมัลแวร์ และนำเสนอวิธีการรับมือกับเหตุการณ์นั้นๆ ทำให้องค์กรสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาได้รวดเร็วแม่นยำมากขึ้น
แกนที่ 4 Sustainability Technologies

เป็นการผสมผสานแนวคิดด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนซึ่งประกอบด้วย 1) เทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อม และ 2) เทคโนโลยีที่สนับสนุนนโยบายด้าน ESG ซึ่งบลูบิคพบเทรนด์ที่น่าจับตามองในปีหน้า ดังนี้

  • AI for Sustainability เป็นการใช้ AI ช่วยปรับปรุงระบบการดำเนินงานและจัดการกระบวนการที่เป็นอุปสรรคต่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอน ปัจจุบันนอกจากการใช้โมเดล AI ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังมีการใช้ AI เฝ้าสังเกต คาดการณ์ ลดการปล่อยคาร์บอนและปรับปรุงประสิทธิภาพในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เช่น การพยากรณ์อากาศ การปรับปรุงระบบรีไซเคิลและจัดการของเสีย การจัดเส้นทางการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วยระบบอัตโนมัติ เป็นต้น
  • ESG Management and Reporting เป็นกระบวนการบริหารจัดการและจัดทำรายงานด้าน ESG ที่จะเข้ามาช่วยองค์กรรับมือกับแรงกดดันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การจัดการภายในองค์กรจนถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน ESG ของหน่วยงานต่างๆ และคู่ค้า โดยอาศัยซอฟต์แวร์ที่สามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำรายงานได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถใหม่ๆ อาทิ โมเดลและการวิเคราะห์ขั้นสูง (Modeling and Advanced Analytics) ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงผลลัพธ์ด้าน ESG ให้แก่องค์กรอีกด้วย
C-Level กับบทบาทที่เปลี่ยนไป

พชร อธิบายว่า “การก้าวเข้าสู่ยุค Digital-First World ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีขีดความสามารถ 7 ประการดังกล่าวเป็นแนวทางนั้น บทบาทของผู้บริหารในระดับ C-Level นั้นจะเปลี่ยนไป โดยผู้บริหารในสายงานธุรกิจที่ไม่ใช่ด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัล อาทิ การตลาด ฝ่ายบุคคล บัญชี หรือการเงิน จะเริ่มมีบทบาทในการใช้งานเทคโนโลยีไอทีและดิจิทัลมากขึ้น”

“ส่วน CIO หรือ CTO ที่เป็นผู้เตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลให้องค์กร จะทำหน้าที่เป็นผู้ที่คอยเชื่อมหรือประสานระหว่างเทคโนโลยีต่างๆ ระหว่างผู้บริหารด้วยกัน หรือระหว่างผู้บริหารในสายงานธุรกิจกับผู้ให้บริการเทคโนโลยี”

Digital Transformation ที่ต้องเข้มข้นและต่อเนื่อง

“ผู้คน เทคโนโลยี และธุรกิจ กำลังเชื่อมโยงกันมากขึ้นทุกวัน และพร้อมส่งผลกระทบซึ่งกันและกันหากเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่ง เห็นได้ชัดจากอิทธิพลของ Generative AI ค่านิยมใหม่ของผู้คน และความสมดุลระหว่างประโยชน์และผลลัพธ์เชิงลบอันเกิดจากการใช้เทคโนโลยีของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา”

“ดังนั้นการทำดิจิทัลทรานส์ ฟอร์เมชันจะต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบลูบิคเชื่อมั่นว่าองค์กรธุรกิจที่รู้เท่าทันกระแสที่เกิดขึ้นและเตรียมพร้อมรับมืออย่างเหมาะสม จะสามารถลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ในยุค Digital-First World” พชร กล่าวปิดท้าย