Thursday, December 26, 2024
ArticlesDigital Transformation

ARItech โอกาสใหม่ของสตาร์ทอัพ

ทำความรู้จัก ARItech กลุ่มเทคโนโลยีชั้นสูงที่จะเป็นโอกาสครั้งใหม่ของสตาร์ทอัพ หน่วยงาน NIA พร้อมหนุนจดทะเบียนสตาร์ทอัพด้าน ARItech 10 ราย ในสองปี

ARItech_หรือ อารีเทค คือ กลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเข้ามาช่วยสร้างมูลค่าให้แก่สตาร์ทอัพในบ้านเรา ปัจจุบันหลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่า ARItech_แต่หากเราลองมาถอดรหัสกันตามตัวอักษร เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจและจินตนาการภาพของ ARItech_ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เพราะเทคโนโลยีในกลุ่มนี้วนเวียนอยู่รอบตัวเรามากมายเริ่มตั้งแต่ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร ไปจนถึงแว่นตา AR สำหรับใส่เล่นเกม และยังมีการคาดการณ์กันอีกว่าในอนาคตเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมในกลุ่ม_ARItech จะเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามหาศาล และจะกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศได้อย่างน่าอัศจรรย์

บทความนี้ จะให้คำตอบเกี่ยวกับ ARItech_และแนวทางการส่งเสริมสตาร์ทอัพสัญชาติไทยให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านนี้ โดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA หนึ่งในหน่วยงานที่ขับเคลื่อนและสนับสนุนวงการสตาร์ทอัพไทย เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลก

อะไรคือ ARITech
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA กล่าวว่า ARItech ประกอบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง 3 ด้าน ได้แก่ A – Artificial Intelligence (เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์) R-Robotics (เทคโนโลยีหุ่นยนต์) และ I- Immersive (เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง)

โดยทั้ง 3 เทคโนโลยีเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet of Things, IoT)

ปัจจุบันมีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วให้กับประเทศ เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในหลายธุรกิจ โดยเฉพาะในการช่วยวิเคราะห์หรือจัดเก็บข้อมูลและพฤติกรรมของผู้บริโภคจนบางครั้งปฏิเสธไม่ได้ว่า AI เป็นนวัตกรรมที่สามารถอ่านใจได้อย่างแม่นยำ

ขณะที่ Robotics เองก็เข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้ช่วยมนุษย์ทั้งด้านการขนส่ง ไลน์การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม และที่เด่นชัดและเริ่มเห็นกันจนชินตาก็คือ การเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของหลายครัวเรือนกับบทบาทในการช่วยดูแลผู้สูงอายุ การจัดการงานในบ้าน รวมถึงงานที่แรงงานมนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงได้ เป็นต้น

ส่วนทางด้าน Immersive หรือเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงกำลังเป็นที่จับตาในอุตสาหกรรมบันเทิงและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงกิจกรรมหรือบรรยากาศสถานที่ต่างๆ ได้ราวกับเข้าไปเยือนสถานที่หรือเหตุการณ์จริง

โดยเฉพาะการสร้างปรากฏการณ์ “เที่ยวทิพย์” ในโลกออนไลน์ ตลอดจนยังเป็นนวัตกรรมที่สำคัญต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคให้ได้สัมผัสกับโลกจำลอง ก่อนเลือกใช้บริการหรือจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้า เช่น ที่อยู่อาศัย การจัดอีเว้นท์ ฯลฯ

ความสำคัญของ ARITech_กับภาคอุตสาหกรรมของไทย

Artificial Intelligence หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มีบทบาทในแทบทุกอุตสาหกรรม แต่ที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้หนีไม่พ้น อีคอมเมิร์ซ ซึ่งจะเป็นทั้งตัววิเคราะห์และติดตามพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้เจ้าของแพลตฟอร์มสามารถนำเสนอสินค้าและบริการให้เข้าถึงผู้ซื้อได้แบบเรียลไทม์

สำหรับในอุตสาหกรรมการแพทย์ก็มีการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ เช่น การวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยในรูปแบบของการแพทย์ทางไกล (Telehealth) หรือแม้แต่ในภาคการผลิต AI มีบทบาทสำคัญกับเกี่ยวกับระบบเซ็นเซอร์ เช่น การคาดการณ์เหตุการณ์ที่ต้องพึงระวังที่อาจนำมาซึ่งความเสียหาย รวมถึงในภาคการเกษตร ที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ผ่านระบบประมวลผลจากการรวบรวมข้อมูลสภาพดิน ฟ้า อากาศ ที่มีผลต่อการเกษตรในแต่ละประเภท

Robotics ในช่วงการระบาดของ COVID – 19 นวัตกรรมดังกล่าวได้พิสูจน์แล้วว่ามีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะกับการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของมนุษย์ เช่น หุ่นยนต์ตรวจจับผู้ที่มีความผิดปกติทางร่างกายที่อาจนำไปสู่การเป็นพาหะของเชื้อ หุ่นยนต์ที่ช่วยในการผ่าตัดสำหรับทีมแพทย์และพยาบาล

หรือแม้กระทั่งการนำมาใช้บริการในร้านอาหาร สำหรับในภาคการผลิตขนาดใหญ่ มีความสำคัญในด้านการทุ่นแรง การทำงานแทนในพื้นที่เสี่ยงหรืออันตราย อีกทั้งยังมีการพัฒนาระบบความคิด การประมวลผล ในบางธุรกิจ เช่น สื่อมวลชน ธุรกิจสุขภาพ อีกด้วย

Immersive เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง สำหรับในเมืองไทยนั้น เทคโนโลยีดังกล่าวมีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมบันเทิงและการสื่อสาร ซึ่งช่วยให้ผู้รับชมได้รับประสบการณ์กับสื่อ ที่ดียิ่งขึ้น เช่น การรายงานสภาพอากาศ การรายงานข่าวในลักษณะลำดับเหตุการณ์ หรือแม้กระทั่งการจัดงานอีเว้นท์ งานแฟร์ ที่ทำให้คนไทยได้เข้าถึงกิจกรรมของแต่ละหน่วยงานได้ดังเดิมผ่านทางเครื่องมือสื่อสาร

เป้าหมายดันสตาร์ทอัพ ARITech สัญชาติไทย

แม้ประเทศไทยจะยังไม่เห็นสัดส่วนของดีพเทคสตาร์ทอัพ ARITech_ในจำนวนที่สูง และเพียงพอต่อความต้องการในภาคอุตสาหกรรม แต่ประเทศไทยก็มีความได้เปรียบในเชิงพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่เป็นเสมือนแซนด์บ็อกซ์ (SandBox) หรือพื้นที่เพื่อการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรม เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวก สิทธิพิเศษ และความพร้อมให้การลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

และจากการมีข้อได้เปรียบของ Sandbox ในพื้นที่อีอีซี NIA จึงได้ริเริ่มกิจกรรม “NIA Deep Tech Incubation Program @EEC” โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกในสาขาอารีเทคให้มีโอกาสเติบโตในพื้นที่ศักยภาพของประเทศ และเพื่อให้สตาร์ทอัพได้มีโอกาสทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่

ตลอดจน ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมในภาคส่วนต่างๆ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าไปใช้กระบวนการทำงานมากขึ้น รวมถึงเป็นการยกระดับพื้นที่เพื่อดึงดูดบริษัทสตาร์ทอัพในระดับโลกเข้ามาลงทุนหรือจัดตั้งบริษัทดีพเทคต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ โอกาสการเติบโตของดีพเทคสตาร์ทอัพสาย ARItech_ในพื้นที่อีอีซีนั้นมีค่อนข้างมาก เพราะปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งมีศักยภาพในการเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพเข้าถึงงานวิจัยของทางสถาบันทางการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐ

โดยในปี 2564-2566 NIA ตั้งเป้าว่าจะต้องมีบริษัทที่สามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านอารีเทคประมาณ 10 ราย พร้อมทั้งคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดการลงทุนในสตาร์ทอัพในระดับ Pre-series A อย่างน้อยประมาณรายละ 30 ล้านบาท

ARItech ดีพเทคอนาคตสดใสอีก 5 ปีมูลค่าแตะ 3.2 แสนล้านดอลลาร์

ในอนาคต ARItech_มีโอกาสที่จะเติบโตค่อนข้างมากและมีมูลค่ามากถึง 3.2 แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะเทคโนโลยีในกลุ่ม AI ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตมากที่สุดเพราะ AI เป็นเทคโนโลยีที่นิยมใช้กันมากในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตไมโครชิพ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านเหรียญดอลลาร์ ด้าน Robotic จะเติบโตประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์

ส่วน Immersive ถือว่าเป็นโอกาสใหม่ของดีพเทคสตาร์ทอัพที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนของประเทศไทยตามที่ NIA ได้มีเป้าหมายแจ้งเกิดบริษัทด้าน ARItech_10 ราย ตั้งเป้าว่าในจำนวนนี้จะต้องส่วนแบ่งมูลค่าการตลาดอย่างน้อย 1% หรือราวๆ 3.2  พันล้านเหรีญดอลลาร์ ซึ่งหากสามารถดำเนินการสำเร็จจะส่งผลให้ศักยภาพด้านนวัตกรรมของประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดร.พันธุ์อาจ กล่าวทิ้งท้าย